
โลกทุกวันนี้เต็มไปด้วยปัญหาซ้อนทับจนธุรกิจแทบหายใจไม่ทัน ตั้งแต่ภัยธรรมชาติที่รุนแรงขึ้น ไปจนถึงความเหลื่อมล้ำที่ลึกกว่าเดิม และหากองค์กรเลือกนิ่งเฉย ก็ยิ่งห่างไกลจากใจคนรุ่นใหม่ รวมถึงความเชื่อมั่นจากสถาบันการเงินและนักลงทุน
โลกในศตวรรษที่ 21 กำลังเผชิญกับจุดเปลี่ยนสำคัญที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน อุณหภูมิโลกสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติรุนแรงและถี่ขขึ้นทุกปี ทรัพยากรธรรมชาติหมดไปเร็วกว่าที่โลกจะฟื้นฟูได้ ขณะเดียวกัน ช่องว่างระหว่างคนรวยและคนจนก็ยิ่งห่างไกลมากขึ้น สร้างความเหลื่อมล้ำที่ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางสังคมและเศรษฐกิจทั่วโลก
จากข้อมูลของสหประชาชาติ หากเรายังคงใช้ทรัพยากรในอัตราปัจจุบัน เราจะต้องสร้างโลกเพิ่มขึ้นเพื่อรองรับความต้องการของคนบนโลกอีก 1.7 เท่าภายในปี 2030 เพื่อรองรับการบริโภค นี่เป็นสัญญาณเตือนที่ชัดเจนว่า โมเดลธุรกิจแบบเดิมที่มุ่งแต่การเติบโตโดยไม่คิดถึงผลกระทบนั้น ไม่สามารถดำเนินต่อไปได้อีกแล้ว
ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา แนวคิดเรื่อง “ความยั่งยืน” เคยถูกมองว่าเป็นเพียงกิจกรรม CSR หรือการประชาสัมพันธ์ที่องค์กรทำเพื่อสร้างภาพลักษณ์ แต่โลกธุรกิจในปัจจุบันได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง ความยั่งยืนกลายเป็น “ปัจจัยแห่งความอยู่รอด” ที่แท้จริง
นักลงทุนทั่วโลกเริ่มหันมาให้ความสำคัญกับการรับรองหลักเกณฑ์ ESG Scoring (Environmental, Social, Governance) ประกอบการตัดสินใจลงทุน รายงานจาก Bloomberg Intelligence ระบุว่า สินทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับ ESG ทั่วโลกคาดว่าเพิ่มขึ้นถึง 53 ล้านล้านดอลลาร์ภายในปี 2025 นั่นหมายความว่า องค์กรที่ไม่ปรับตัวให้สอดคล้องกับแนวคิดความยั่งยืนจะเสี่ยงถูกทิ้งไว้ข้างหลังโดยนักลงทุน คู่ค้า และลูกค้า
นอกจาก ความต้องการของนักลงทุน และการสนับสนุนสินเชื่อ ยังมีความต้องการจากกลุ่ม ผู้บริโภคยุคใหม่ โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Z และ Millennials ต่างให้ความสำคัญ มีความคาดหววังความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม จากเจ้าของแบรนด์
สิ่งที่ยืนยันจากผลสำรวจโดย Nielsen พบว่า 73% ของผู้บริโภคทั่วโลกยินดีจ่ายเงินมากขึ้นเพื่อสินค้าและบริการที่ยั่งยืน จุดเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของพฤติกรรมผู้บริโภคที่องค์กรต้องปรับตัวให้ทัน
แม้ว่าหลายองค์กรจะตระหนักถึงความสำคัญของความยั่งยืน แต่การนำไปปฏิบัติจริงกลับเต็มไปด้วยอุปสรรคและความท้าทาย:
หลายองค์กรยังมองว่า ESG, CSR, SDGs เป็นเรื่องที่ซับซ้อนและแยกกันคนละเรื่อง ทำให้ไม่รู้จะเริ่มต้นจากจุดไหน หรือควรใช้กรอบไหนดี เมื่อเกิดความสับสน จึงทำให้เริ่มวางแผนล่าช้าและขาดทิศทางที่ชัดเจน
การปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิต การใช้พลังงานสะอาด หรือการพัฒนาห่วงโซ่อุปทานที่ยั่งยืน มักต้องใช้เงินลงทุนในระยะแรก ทำให้ผู้บริหารหลายท่านมองว่าเป็นการเพิ่มภาระทางการเงินมากกว่าโอกาส โดยเฉพาะในองค์กรที่ยังคงมุ่งเน้นผลกำไรระยะสั้น
หลายบริษัทไม่รู้ว่าจะวัด “ความยั่งยืน” มีการวัดผล เพราะยังไม่มีหลัเกณฑ์การชี้วัด (KPIs) ที่ชัดเจน ทำให้ไม่สามารถติดตามความคืบหน้าหรือพิสูจน์ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นได้จริง
การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างและวัฒนธรรมองค์กรมักเจอกับแรงต้านจากพนักงานหรือผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่คุ้นเคยกับวิธีการเดิม ๆ ยังไม่คุ้นชินกับการปรับบทบาทหน้าที่หรือเปลี่ยนแปลงกระบวนการทำงาน
องค์กรหลายแห่งกลัวว่าจะการทำESG จะกลายเป็นถูกมองจากสังคมภายนอกว่าสร้างภาพ หรือเป็นการฟอกเขียว จึงเน้นพูดมากแต่ทำน้อย ทำให้เกิดความกังวลและระมัดระวังในการสื่อสารถึงความพยายามด้านความยั่งยืนของตน

เพื่อเปลี่ยนจากปัญหาสู่โอกาส และทำให้ความยั่งยืนกลายเป็นรากฐานที่แท้จริงขององค์กร นี่คือแนวทางปฏิบัติที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้จริง:
เปลี่ยนระบบเศรษฐกิจแบบเชิงเส้น (Linear Economy) ที่คิดแบบชั้นเดียว “ผลิต-ใช้-ทิ้ง” สร้างภาระต่อสิ่งแวดล้อมอย่างมหาศาล และทำให้ทรัพยากรร่อยหรอ สู่ เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ใช้ทรัพยากรคุ้มค่า ออกแบบผลิตภัณฑ์ให้นำกลับมาใช้ซ้ำ ซ่อมแซม หรือรีไซเคิลได้ และสร้างคุณค่าเพิ่มให้กับระบบนิเวศ โดยการสร้างระบบ Take-Back Program รับคืนสินค้าเก่าจากลูกค้าเพื่อนำมาซ่อมแซม ลดปริมาณขยะและสร้างมูลค่าเพิ่ม
หัวใจของ Sustainability คือการเชื่อมโยงสามมิติให้ทำงานร่วมกันอย่างกลมกลืน ไม่ใช่เลือกด้านใดด้านหนึ่ง แต่ต้อง บูรณาการทั้งสามด้านเข้าด้วยกัน ใส่คนและสังคม โดยการสรางวัฒนธรรมองค์กร ให้ความสำคัญกับความเท่าทีมกับทุกคน สนับสนุนการจ้างงานท้องถิ่น ดูแลสวัสดิภาพพนักงาน ลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม มีส่วนในการฟื้นฟูระบบนิเวศ ตลอดจน สร้างความเจริญรุ่งเรืองที่ยั่งยืน ให้กับระบบเศรษฐกิจในระยะยาว ผ่าน การพัฒนาโมเดลใหม่ ลงทุนในนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน สร้างพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ และรายงานความโปร่งใส ในการเปิดเผยข้อมูล ESG
หลายองค์กรยังสับสนว่ากรอบทั้งสามนี้ต่างกันอย่างไร ความจริงแล้ว ทั้งสามมี “รากฐานเดียวกัน” คือความยั่งยืน แต่ต่างกันที่มุมมองและการประยุกต์ใช้:
ปัญหาหลัก: ผู้บริหารหลายท่านยังคิดว่าการทำเพื่อสิ่งแวดล้อมและสังคมจะลดผลกำไร แต่ความจริงกลับตรงกันข้าม
ข้อเท็จจริง:
แนวทางเปลี่ยนแปลง
โลกธุรกิจกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และการปรับตัวไม่ทันหมายถึงการถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ความยั่งยืนไม่ใช่เพียงแนวโน้มชั่วคราว แต่เป็น “กฎเกมใหม่” ที่องค์กรทุกแห่งต้องเรียนรู้และนำไปปฏิบัติ
การขับเคลื่อนด้วยแนวคิด ESG และความยั่งยืนไม่ได้หมายความว่าต้องเสียสละผลกำไร แต่เป็นการ “ลงทุนในอนาคต” ที่มั่นคงและยั่งยืนสำหรับทั้งธุรกิจ ผู้คน และโลกใบนี้ องค์กรที่สามารถผสานความเติบโตทางเศรษฐกิจเข้ากับความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมจะเป็นผู้นำในยุคใหม่
ดังนั้น คำถามจึงไม่ใช่ “ทำไมต้องทำ?” แต่คือ “เราจะเริ่มทำอย่างไร และเริ่มตอนนี้ เดี๋ยวนี้ ไม่มีเวลาอีกรออีกต่อไป