
"ภราดร เตียรณปราโมทย์" ผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส ระบุว่า ยังคงเป้า SET Index ณ สิ้นปีนี้ที่ 1,376 จุด และ กำไรต่อหุ้น (EPS) ที่ 86 บาท เนื่องจากคาดกำไร บจ.ปีนี้ที่ 1.6 ล้านล้านบาท ซึ่งไตรมาส 3/68 กำไรรวมฟื้นตัวกลับสู่ระดับปกติ (ไตรมาสละ 2.5 - 2.6 แสนล้านบาท) เมื่อรวม 9 เดือนปีนี้ ตัวเลขจะอยู่ที่ประมาณ 8.73 แสนล้านบาท ดังนั้นไตรมาส 4/68 หากทำได้อีกเพียง 2.17 แสนล้านบาท (ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำกว่าเกณฑ์ด้วย ที่สำคัญเป็นไฮซีซั่น) ก็จะสามารถถึงเป้าหมายที่คาดการณ์ได้ไม่ยาก
"กิจพณ ไพรไพศาลกิจ" รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) มองว่า ยังคงเป้า SET Index สิ้นปีนี้ที่ 1,350 จุด เพราะเป็นระดับที่เหมาะสมกับการเติบโตของกำไร บจ. และ Valuation (มูลค่า) ของตลาดหุ้นไทยในขณะนี้แล้ว ขณะที่ SET Index ตอบรับงบฯ ไตรมาส 3/68 ไปมากแล้ว สะท้อนจากหุ้นกำไรดี เช่น ธนาคาร, โรงไฟฟ้า, โรงกลั่น และสื่อสารฯ ทำให้หุ้นปรับตัวขึ้นมาก่อนหน้านี้ แต่หลังจากนั้นหุ้นกลุ่มอื่น ๆ ที่เหลือผลประกอบการไม่ค่อยดีนัก ตลาดฯ จึงปรับตัวลงมา

"ณรงค์เดช จันทรไพศาล" ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ไอร่า ยังคงเป้าดัชนีหุ้นไทย ณ สิ้นปีนี้ที่ 1,300 จุด เนื่องจากสมเหตุสมผลกับ Valuation ของหุ้นไทยปีนี้ ที่เติบโตต่ำ โดยอาศัยหุ้นเพียงไม่กี่บริษัทเท่านั้น ที่ผลประกอบการดีช่วยประคองตลาดฯ แต่ส่วนใหญ่ยังไม่ค่อยดีนัก ซึ่ง SET Index ก็รับข่าวไปแล้วในขณะนี้
บทวิเคราะห์ บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) คงเป้าประมาณการกำไร บจ.ปี 68 ที่ 87 บาท และ SET Index ที่ 1,290 จุด แม้กําไรตรมาส 3/68 ดีกว่าตลาดคาด 6% แต่ในเชิงการกระจายตัวสะท้อนกําไรบริษัทส่วนใหญ่เป็นไปตามคาด (57% ของจํานวนหุ้นที่มีคาดการณ์) ประกอบกับเศรษฐกิจข้างหน้าที่เผชิญความท้าทาย จากความไม่แน่นอนภาษีสหรัฐฯ การฟื้นตัวภาคท่องเที่ยวและปัญหาหนี้ครัวเรือน จึงเป็นเหตุให้ยังไม่เห็นสัญญาณการปรับเพิ่มประมาณการกําไร
ทั้งนี้ กําไรบริษัทใน SET (ไม่รวม PF&REIT) งวดไตรมาส 3/68 ข้อมูลถึงวันที่ 17 พ.ย.68 คิดเป็น 92% ของ Market Cap. มีกําไรสุทธิรวม 2.5 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 28% เมื่อเทียบกับปีก่อน (YoY) แต่ลดลง 22% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ)
การหดตัว QoQ มาจากกําไรกลุ่มพลังงาน -45% กลุ่มวัสดุก่อสร้าง -89% กลุ่มอาหาร -38% กลุ่มค้าปลีก -8% กลุ่มขนส่ง -40% ส่วนการขยายตัว YoY หนุนหลักกลุ่มโรงกลั่น +78% กลุ่ม ICT จากการ Turnaround ของ TRUE และกําไรที่เติบโตของ ADVANC ระดับ +37% กลุ่มธนาคาร +14% กลุ่มอิเล็คทรอนิกต์ +17%
"สรพล วีระเมธีกุล" ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าทีมกลยุทธ์การลงทุน บล.กสิกรไทย คงเป้า SET Index สิ้นปีนี้ที่ 1,275 จุด เนื่องจากผลประกอบการไตรมาส 3/68 ไม่ต่างจากคาดการณ์อย่างมีนัยสำคัญ มีเพียงกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ที่กำไรเติบโตโดดเด่น แต่อีกหลายกลุ่มยังมีผลการดำเนินงานอ่อนแอ ทำให้ไม่มีความจำเป็นที่ต้องปรับคาดการณ์ใหม่
ทั้งนี้มองว่า SET Index ณ ปัจจุบัน ไม่ได้โฟกัสที่ประเด็นผลการดำเนินงานไตรมาส 3/68 แล้ว แต่กำลังให้ความสนใจต่อประเด็นการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ช่วงเดือนหน้าแล้ว ส่วน SET Index ที่ปรับตัวลงมาช่วง 5 - 7 วันทำการล่าสุดเป็นการปรับตัวลงมาตามหุ้น DELTA
บทวิเคราะห์ บล.ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) ปรับประมาณการ EPS ของตลาดฯ ลง 0.7% เป็น 81.8 บาทในปี 68 แต่ยังคงประมาณการที่ 88.7 บาทในปี 69 เท่ากับคาดว่า EPS ของตลาดหุ้นไทยในปี 68 จะเติบโต 10% และปี 69 จะเติบโต 8% เทียบกับที่ -3% ในปีก่อน สำหรับ SET Index ปี 68 ยังอยู่ในกรอบเดิมที่ 1,250 - 1,300 จุด
การที่ GDP ไทยขยายตัวเพียง 1.2% YoY ในไตรมาส 3/68 และเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มชะลอตัวในปี 69 ทำให้มีโอกาสค่อนข้างสูงที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 25bp เป็น 1.25% ในการประชุมวันที่ 17 ธ.ค.นี้ และอาจปรับลดอีกสองครั้งในปี 69 มาอยู่ที่ 0.75% ซึ่งเชื่อว่ากลุ่มสินเชื่อเพื่อผู้บริโภคจะได้ประโยชน์จากการปรับลดดอกเบี้ยมากที่สุด นอกจากนี้ รัฐบาลอาจมีมาตรการลดหย่อนภาษีสำหรับการจับจ่ายซื้อสินค้าช่วงเทศกาล มองว่าจะส่งผลดีต่อกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค ส่วนนโยบายซื้อหนี้เสีย (NPL) วงเงินต่ำจากธนาคารและผู้ให้บริการสินเชื่อจะเป็นผลดีต่อทั้งสองกลุ่มนี้
ทั้งนี้ บทวิเคราะห์ บล.ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) คาดดัชนีฯ สิ้นปี 69 จะอยู่ที่ 1,400 จุด ซื้อขายที่ P/E ราว 15.50 เท่า แต่หากไม่รวม DELTA ดัชนีฯ จะซื้อขายอยู่ที่ P/E เพียง 11.8 เท่า หรือประมาณ -1.5SD จากค่าเฉลี่ย 10 ปี และเนื่องจากตลาดหุ้นไทย Underperform ตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคอย่างมีนัยสำคัญ เชื่อว่ามูลค่าเริ่มน่าสนใจ ขณะที่ภูมิทัศน์ทางการเมืองก็ชัดเจนขึ้น, อัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มลดลง, มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่จะออกมาเพิ่มเติม รวมทั้งเงินทุนไหลเข้าจากต่างประเทศ น่าจะช่วยกระตุ้นการซื้อขายในตลาดหุ้นไทย
ส่วนความเสี่ยงอาจมาจากการที่สหรัฐฯ จะปรับขึ้นภาษีนำเข้า หลังไทยระงับปฏิบัติตามข้อตกลงสันติภาพกับกัมพูชา, การปะทะกันระหว่างทหารไทยและกัมพูชา, การปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Sovereign Rating) และเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยว
ด้าน บทวิเคาะห์ บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) คาดกำไร บจ.ปี 69 อยู่ที่ 92 บาท และ SET Index สิ้นปีที่ 1,370 จุด แม้ยังมีความเสี่ยงทั้งปัจจัยภายนอกและภายใน แต่เชื่อว่า Downside ก็จำกัดเช่นกัน
"ณรงค์เดช จันทรไพศาล" ระบุว่า หุ้นไทย ณ ปัจจุบัน ยังไม่มีความน่าสนใจในแง่การลงทุน สะท้อนจากวอลุ่มที่ต่ำ หุ้นมีจำนวนน้อยที่ราคาให้ผลตอบแทนที่ดี แนะนำ หลีกเลี่ยงไปก่อน แต่หากอยากลงทุนให้ซื้อหุ้นปันผลสูงที่ผลการดำเนินงานมีแนวโน้มเติบโต จึงจะเป็นหุ้นที่ปลอดภัยในช่วงนี้ แต่หากถ้าไม่ลงทุนหุ้นไทย แนะนำ ซื้อ DR ที่อ้างอิงหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ เพราะราคาช่วงนี้ปรับฐานจากความกังวลเกิดฟองสบู่ แต่เป็นเพียงการปรับพอร์ตของสถาบันเท่านั้น จึงมองเป็นจังหวะซื้อที่น่าสนใจ
บทวิเคาะห์ บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) แนะนำ เลือกหุ้นธีม "Earnings Play" โดยเน้นที่แนวโน้มกำไรหลักไตรมาส 4/68 เติบโตเด่นและต่อเนื่องในปี 68 อาทิ AMATA, AP, BCPG, COM7, CPN, MINT, MTC, TRUE, WHA และ WHAUP
"กิจพณ ไพรไพศาลกิจ" แนะนำ เลือกหุ้นที่กำไรไตรมาส 4/68 ฟื้นตัวต่อเนื่องยาวไปจนถึงไตรมาส 1/68 กลุ่มที่น่าจะอยู่ในข่าย ประกอบด้วย ประกอบด้วย การท่องเที่ยวและสันธนาการ, การแพทย์ และบรรจุภัณฑ์ เป็นต้น
"ภราดร เตียรณปราโมทย์" เผยว่า ช่วงที่ตลาดฯ มีวอลุ่มต่ำ หุ้นไม่ค่อยวิ่ง ต้องเลือกหุ้นที่มีสภาพคล่องสูงที่มี Valuation ต่ำ และผลประกอบการยังมีแนวโน้มเติบโต รวมถึงต้องมีอัตรา Dividend Yield สูงด้วย จึงจะเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยในช่วงนี้
"สรพล วีระเมธีกุล" แนะนำ เลือกหุ้นประเภท Defensive ไว้ก่อน เนื่องจากตลาดหุ้นไทยยังไม่มีสัญญาณที่ดีนัก โดยหุ้นที่แนะนำ คือ TRUE, CPN และ BEM เป็นต้น
บล.ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) เลือกหุ้นที่มีแนวโน้มการเติบโตต่อเนื่อง และได้รับอานิสงส์นโยบายรัฐบาล อาทิ ADVANC, BCPG, BDMS, CPN, MINT, MTC, PR9, SCB และ TRUE