
เขาเกริ่นนำเกี่ยวกับการลดบทบาทครั้งนี้ว่า "I will no longer be writing Berkshire’s annual report or talking endlessly at the annual meeting. As the British would say, I’m “going quiet.” Sort of."
กล่าวคือ จากนี้เขาจะไม่เขียนรายงานประจำปีหรือสาธยายอย่างยาวนานในการประชุมประจำปีของ "Berkshire" อีกต่อไป เหมือนที่สำนวนอังกฤษว่าไว้ "ผมกำลังจะสงบปากสงบคำ" (ประมาณหนึ่ง)

จากนั้นได้ให้ความเชื่อมั่นต่อผู้สานต่อ "Berkshire" โดยกล่าว "Greg Abel will become the boss at yearend. He is a great manager, a tireless worker and an honest communicator. Wish him an extended tenure."
"Greg Abel" จะขึ้นมาเป็นนายใหญ่ตั้งแต่ปลายปีนี้ เขาเป็นผู้บริหารที่ยอดเยี่ยม เป็นคนทำงานที่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย และเป็นนักสื่อสารที่ตรงไปตรงมา ขอให้เขาอยู่ในตำแหน่งนี้ไปอีกนานๆ
เขาเขียนย้ำถึงศักยภาพซีอีโอคนใหม่ว่า "I can’t think of a CEO, a management consultant, an academic, a member of government -you name it- that I would select over Greg to handle your savings and mine."
"ผมไม่สามารถนึกถึงซีอีโอ, ที่ปรึกษาการจัดการ, นักวิชาการ, คนในรัฐบาล หรือใครก็ตามคุณว่ามาได้เลย แต่ผมจะเลือก Greg ให้มาแลเงินออมของคุณและของผมเท่านั้น"
นี่คือการลงนามรับรองความเชื่อมั่นในตัว "Greg Abel" ที่แข็งแรงที่สุด เขากำลังสื่อสารกับนักลงทุนโดยตรงว่า "ไม่มีใครดีไปกว่า Greg Abel ในการบริหารความมั่งคั่งของ Berkshire Hathaway"
จากนั้นเขาเล่าประสบการณ์ต่าง ๆ ตั้งแต่การเติบโตของเขา, ครอบครัว และมิตรสหายที่แสนประเสริฐ โดยให้เครดิตกับ "โชค" เพราะในจดหมายนี้เขาเอ่ยคำว่า "Luck" ถึง 12 ครั้ง
เขาบอกว่าเขาโชคดีที่ได้ใช้ชีวิตเกือบทั้งหมดในเมืองโอมาฮา สร้างครอบครัวและทำธุรกิจอยู่ใจกลางประเทศ เขาโชคดีที่เกิดในปี 1930 เป็นชายผิวขาวชาวอเมริกัน เขาโชคดีที่ยังมีชีวิตอยู่ถึงวัย 95 และเขาโชคดีที่ “จับได้หลอดที่ยาวอย่างเหลือเชื่อตั้งแต่เกิด "Through dumb luck, I drew a ridiculously long straw at birth."
จนในช่วงท้ายของจดหมายขนาด 8 หน้า A4 ปูชนียบุคคลด้านการลงทุนของโลก ได้ให้บทเรียนที่เปี่ยมไปด้วยข้อคิดอันควรค่าแก่การแชร์ต่อ 5 ประเด็น ดังนี้
1."Don’t beat yourself up over past mistakes - learn at least a little from them and move on. It is never too late to improve."
"วอร์เรน บัฟเฟตต์" บอกว่า "อย่าตำหนิตัวเองเกินไปจากความผิดพลาดในอดีต ให้เรียนรู้จากมัน แม้จะเล็กน้อยก็ตาม แล้วก้าวต่อไป ไม่เคยสายเกินไปสำหรับการทำให้ดีขึ้น"
2."Decide what you would like your obituary to say and live the life to deserve it."
"จงพิจารณาถึงคำไว้อาลัยของตัวเองที่อยากพูดถึง แล้วใช้ชีวิตเพื่อให้สมควรได้รับมัน" ประโยคนี้ "วอร์เรน บัฟเฟตต์" อ้างอิงจากเรื่องราวของ "Alfred Nobel" เจ้าของชื่อ "รางวัลโนเบล" ในปัจจุบัน ที่ครั้งหนึ่งได้อ่านประกาศไว้อาลัยของตัวเอง แต่ถูกตีพิมพ์อย่างผิดพลาดเมื่อพี่ชายของเขาเสียชีวิตและหนังสือพิมพ์เกิดความสับสน ซึ่งเขาตกใจกับสิ่งที่เขาได้อ่าน และตระหนักว่าเขาควรจะเปลี่ยนพฤติกรรมของตัวเอง
3."Greatness does not come about through accumulating great amounts of money, great amounts of publicity or great power in government. When you help someone in any of thousands of ways, you help the world. Kindness is costless but also priceless."
จากนั้นเขาพูดถึงความเมตตาและการให้ โดยกล่าวไว้ว่า "ความยิ่งใหญ่ไม่ได้เกิดจากการสะสมเงินจำนวนมาก, ถูกประชาสัมพันธ์มาก หรือมีอำนาจในรัฐบาลมาก. เมื่อคุณช่วยเหลือใครสักคน ไม่ว่าจะด้วยทางใดในหลายพันวิธี, คุณได้ช่วยโลกใบนี้. ความเมตตานั้นไม่มีค่าใช้จ่าย แต่ก็ประเมินค่าไม่ได้เช่นกัน."
4."Choose your heroes very carefully and then emulate them. You will never be perfect, but you can always be better."
อีกหนึ่งมุมมองที่ดีสำหรับคนที่ยังไปไม่ถูกทาง คุณปู่บอกว่า "เลือกฮีโร่ของคุณอย่างรอบคอบ แล้วเดินตามรอยความสำเร็จของเขา. คุณจะไม่มีทางสมบูรณ์แบบ, แต่คุณจะดีขึ้นกว่าเดิมเสมอ."
5."Our stock price will move capriciously, occasionally falling 50% or so as has happened three times in 60 years under present management. Don’t despair; America will come back and so will Berkshire shares."
ประโยคนี้เขาให้ข้อคิดเรื่องความอดทนในการลงทุนระยะยาวที่มีขึ้นและลงเสมอ "ราคาหุ้นของเราจะเคลื่อนไหวอย่างผันผวน, บางครั้งก็ร่วงลงไป 50% หรือแถว ๆ นั้น ซึ่งเคยเกิดขึ้นมาแล้ว 3 ครั้งในรอบ 60 ปีภายใต้การบริหารงานในปัจจุบัน. จงอย่าสิ้นหวัง ; อเมริกาจะกลับมา และหุ้น Berkshire ก็จะกลับมาด้วยเช่นกัน"
ช่วงท้ายของจดหมาาย "วอร์เรน บัฟเฟตต์" ออกตัวว่า "I write this as one who has been thoughtless countless times and made many mistakes but also became very lucky in learning from some wonderful friends how to behave better (still a long way from perfect, however)."
กล่าวคือ "ผมเขียนสิ่งนี้ในฐานะคนที่เคยขาดความยั้งคิดนับครั้งไม่ถ้วนและเคยทำผิดพลาดมามากมาย แต่ก็โชคดีอย่างมากที่ได้เรียนรู้จากเพื่อนที่ยอดเยี่ยมหลายคน ว่าควรประพฤติตนให้ดีขึ้นได้อย่างไร (อย่างไรก็ตาม ยังห่างไกลจากความสมบูรณ์แบบมาก)"
เรื่องนี้สะท้อนถึงความถ่อมตนและไฝ่หาการเรียนรู้ตลอดชีวิต เขายอมรับอย่างเปิดเผยว่าตนเองไม่ใช่ผู้ที่สมบูรณ์แบบ เพียงแค่ "โชคดี" ที่ได้เรียนรู้จากคนรอบกาย สะท้อนถึงความสำคัญของมิตรภาพและการมีที่ปรึกษาที่ดี ซึ่งเขาตอกย้ำว่าแม้จะพยายามพัฒนาตนเองแล้ว ก็ยัง "Still a long way from perfect" ซึ่งเป็นข้อคิดที่สนับสนุนแนวคิดที่ว่า "It is never too late to improve"
ก่อนจะเสริมเพิ่มเติมถึงความเท่าเทียมว่า "Keep in mind that the cleaning lady is as much a human being as the Chairman."
"จงจำไว้ แม่บ้านคนทำความสะอาดก็เป็นมนุษย์เฉกเช่นเดียวกับประธานบริษัท"