
ราคาทองคำปรับตัวลงต่อเนื่องช่วง 6 วันหลังสุด หลังดีดตัวขึ้นไปทำสถิติสูงสุดตลอดกาล (All Time High) โดยราคาทองคำโลก (Spot Gold) เคยขึ้นไปสูงสุดที่ 4,381.60 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ เมื่อ 20 ต.ค.2568 ขณะที่ราคาทองคำที่ซื้อขายในประเทศไทยชนิด 96.50% ขึ้นไปทำสถิติใหม่เมื่อ 17 ต.ค.68 โดยทองคำแท่งรับซื้อสูงสุด 67,300 บาทต่อบาททองคำ ขายออก 67,400 บาทต่อบาททองคำ ส่วนทองรูปพรรณรับซื้อสูงสุด 65,961.16 บาทต่อบาททองคำ ขายออก 68,200 บาทต่อบาททองคำ
แต่ล่าสุดวันนี้ (27 ต.ค.68) ช่วงเวลา 11:07 น. ราคา Spot Gold อยู่ที่ 4,060 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ ลดลงจากจุดสูงสุด 321.60 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ 7.34%
ส่วนในประเทศ ราคาทองแท่งรับซื้ออยู่ที่ 62,800 บาทต่อบาททองคำ ลดลงจากราคาสูงสุด 4,500 บาท หรือ 6.69% ทองคำแท่งขายออก 62,900 บาทต่อบาททองคำ ลดลงจากราคาสูงสุด 4,500 บาท หรือ 6.69% ขณะที่ทองรูปพรรณรับซื้อเหลือ 61,549.60 บาทต่อบาททองคำ ลดลงจากราคาสูงสุด 4,411.56 บาท หรือ 6.69% ทองรูปพรรณขายออก 63,700 บาทต่อบาททองคำ ลดลงจากราคาสูงสุด 4,500 บาท หรือ 6.60%
"นพ.กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ" ประธานกรรมการ กลุ่มบริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ แม่ทองสุก (MTS Gold) ประเมินว่า การปรับตัวลงต่อเนื่องของราคาทองคำช่วงนี้เป็นการปรับฐาน หลังจากที่ราคาทะยานพุ่งขึ้นไปมากจนขึ้นไปทำสถิติใหม่ ซึ่งในเชิงเทคนิคมีโมเมนตัมที่เหวี่ยงค่อนข้างแรง รวมถึงสภาวะ Overbought หรือมีแรงซื้อมากเกินไป โดยภาพรวมถือว่าปกติ เป็นภาวะที่จะทำให้ราคาทองคำกลับเข้าสู่สมดุล หลังจากที่ราคาขึ้นมากว่า 400 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในระยะเวลาสั้น ๆ
ทั้งนี้เชื่อว่า ไม่ใช่ฟองสบู่แตกในราคาทองคำ เพราะในทางพื้นฐานปัจจุบันทองคำโลกยังขาดตลาด โดยดีมานด์สูง แต่มีซัพพลายไม่เพียงพอกับตลาด ซึ่งตราบใดที่ยังมีดีมานด์ทั้ง Real Demand และ Physical Demand การที่ราคาตกก็มักจะตกแบบเพื่อการปรับฐานเท่านั้น
ขณะเดียวกันมองว่าทองคำพิสูจน์ตัวเองมาแล้วกว่า 1,000 ปี เป็นสินทรัพย์ที่สามารถจับต้องได้ และแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะเสื่อมค่าหรือไม่มีคนสนใจแบบไม่มีใครเอาเหมือนสินทรัพย์เสี่ยงอื่น ๆ
อย่างไรก็ตามระยะสั้น คาดว่าราคาทองคำยังจะเคลื่อนไหวแบบ Sideways เพราะเริ่มถูกกดดันจากปัจจัยบวกความคืบหน้าในการเจรจาการค้าระหว่างจีน-สหรัฐฯ เบื้องต้นทั้งสองฝ่ายได้บรรลุฉันทามติเบื้องต้นในหลายประเด็นสำคัญ และได้ถอนมาตรการขู่ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน 100% ออกจากโต๊ะเจรจา เพื่อแลกกับความยินยอมของจีนในการชะลอมาตรการควบคุมการส่งออกแร่ธาตุหายาก
ขณะที่ทางเทคนิคราคาทองคำได้ทำการปรับฐานครั้งใหญ่และกำลังเริ่มทรงตัวบริเวณแนวรับ Fibonacci Retracement 38.2% ในระยะสั้น ซึ่งปัจจุบันการเคลื่อนไหวยังอยู่ในรูปแบบพักฐาน แนวโน้ม Sideways เพื่อรอปัจจัยชี้นำทิศทาง คาดการณ์กรอบการเคลื่อนไหวระยะสั้น จะมีแนวรับอยู่ที่ 4,050 เหรียญ และแนวต้านที่ 4,150 เหรียญ
“วรชัย ตั้งสิทธิ์ภักดี” กรรมการผู้จัดการ บริษัท จีที โกลด์บูลเลี่ยน จำกัด มองว่า ราคาทองคำปรับตัวลงแรงจาก 2 ประเด็นหลักคือ "โดนัลด์ ทรัมป์" ประธานาธิบดีสหรัฐฯ และ "สี จิ้น ผิง" ประธานาธิบดีจีน จะพบปะหารือกันในช่วงระหว่างการประชุมเอเปกที่เมืองคย็องจู เกาหลีใต้ สิ้นเดือน ต.ค.นี้ โดยการพบกันครั้งนี้มีแรงกดดันจากข้อพิพาททางการค้า และคำขู่ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนอีก 100% หากจีนไม่ผ่อนคลายการควบคุมการส่งออกแร่หายาก ขณะเดียวกันการปิดหน่วยงานรัฐบาลหรือ Government Shutdown ของสหรัฐฯ มีแนวโน้มสิ้นสุดภายในเดือน ต.ค.นี้ ทำให้กองทุนมีการเทขายทองคำทำกำไร
ทางเทคนิคให้ระวังที่ระดับราคา 4,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ ส่วนทองแท่งประมาณ 62,900 บาท หากหลุดอาจไปทดสอบแนวรับแรกที่ 3,900 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ แนวรับถัดไปที่ 3,800 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ และ 3,750 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ ส่วนราคาทองคำแท่งที่มีแนวเข้าซื้ออยู่ที่ 58,500-63,000 บาท (คิดอัตราแลกเปลี่ยนที่ 32.90 บาท) ด้านแนวต้านแรกอยู่ที่ 4,190 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ แนวต้านถัดไปที่ 4,275 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ หากผ่านไปได้มีโอกาสที่จะไปแตะ 4,380 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ ซึ่งเป็นตัวเลขสูงสุดครั้งก่อน
ด้านการวิเคราะห์จากสถาบันการเงินระดับโลกยังคาดว่าระยะยาวราคาทองทำยังเป็นขาขึ้น ประเมินเป้าหมายปี 69 ทะลุ 4,300-5,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์
"เจพี มอร์แกน" (J.P. Morgan) ประเมินว่า ราคาทองคำเฉลี่ยจะพุ่งขึ้นไปสูงถึง 5,055 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ ในไตรมาส 4/69 หนุนจากปัจจัยสำคัญหลายประการ ประกอบด้วย ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) เริ่มเข้าสู่รอบการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ท่ามกลางความกังวลที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับภาวะเงินฝืดควบเงินเฟ้อ (Stagflation) ความเป็นอิสระของเฟด และแรงซื้อทองคำเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการด้อยค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐในระยะยาว
พร้อมกันนี้คาดว่าหากนักลงทุนต่างชาติที่ถือสินทรัพย์สหรัฐฯ ตัดสินใจลดสัดส่วนการถือครองลงจากราว 45% เหลือ 43% และนำเพียง 0.5% ของพอร์ตการลงทุนมาลงในทองคำ อาจทำให้ราคาทองคำทะยานขึ้นไปได้ถึง 6,000 ดอลลาร์/ออนซ์ โดยหัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์สินค้าโภคภัณฑ์ระดับโลกของธนาคารได้เน้นย้ำว่า แม้สินทรัพย์ของสหรัฐฯ จะยังคงเป็นแกนหลักของพอร์ต แต่หลายบริษัทก็กำลังปรับลดสัดส่วนลงเล็กน้อยเพื่อเพิ่มทองคำเข้าในพอร์ตอย่างมีนัยสำคัญ
นอกจากนี้ Bank of America และ Société Générale ก็ได้ปรับเพิ่มเป้าหมายราคาทองคำปี 69 ขึ้นสู่ระดับ 5,000 ดอลลาร์สหรัฐเช่นกัน
ฟาก "มอร์แกน สแตนลีย์" (Morgan Stanley) ปรับการคาดการณ์ทองคำในสิ้นปี 69 อยู่ที่ 4,400 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ จากเดิมอยู่ที่ 3,313 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ โดยธนาคารต่าง ๆ ทั่วโลกยังซื้อทองคำเป็นทุนสำรองเพิ่มขึ้น เพื่อหนีสกุลเงินดอลลาร์และพันธบัตรสหรัฐฯ
ส่วน "โกลด์แมน แซคส์" (Goldman Sachs) ปรับเพิ่มคาดการณ์ราคาทองคำในเดือน ธ.ค.69 เป็น 4,900 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ จากเดิม 4,300 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ เนื่องจากการไหลเข้าของเงินทุนสู่กองทุน ETF ทองคำในภูมิภาคตะวันตกอย่างต่อเนื่อง