
ภายในงาน Thailand Blockchain Week 2025 เวทีเสวนา “วิธีรับมือกับการเป็นคนรวยในตลาดกระทิง ภาค 2” โดยมีผู้เข้าร่วมเสวนาคือ โฉลก สัมพันธารักษ์, พีรพัฒน์ หาญคงแก้ว และ ชวิศ กฤษณานุวัตร์
โฉลก สัมพันธารักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Chaloke Dot Com กล่าวว่า นักลงทุนจำนวนมากในตลาดคริปโทฯ มักหลงไปโฟกัสกับ “ราคา” มากเกินไป ว่าบิตคอยน์จะขึ้นถึงเท่าไร จนลืมคิดถึง “mindset” หรือกรอบความคิดที่แท้จริงของคำว่า รวย
“ต้องถามก่อนว่ารวยอะไร ถ้ารวยในเงินเฟียต มันก็แค่กระดาษที่เสื่อมค่าไปทุกวัน แต่ถ้ารวยทองคำ รวยบิตคอยน์ หรือรวยที่ดินเพื่อการเกษตร แบบนั้นต่างหากที่มีมูลค่าจริง” ลุงโฉลก กล่าว
ลุงโฉลก เสริมว่า “เงินเฟียต” เป็นเพียงกระดาษที่รัฐสร้างขึ้นโดยไม่มีสินทรัพย์ค้ำหลังอย่างแท้จริง มันจึงมีมูลค่าก็ต่อเมื่อคนยังเชื่อถือในระบบ แต่เมื่อเวลาผ่านไป อัตราเงินเฟ้อและหนี้สาธารณะจะค่อย ๆ ทำให้มูลค่าของมันลดลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ตรงกันข้ามกับ “สินทรัพย์จริง” เช่น ทองคำ บิตคอยน์ หรือที่ดินเพื่อการเกษตร คือสิ่งที่มีมูลค่าจากตัวมันเอง ทำให้สามารถรักษาความมั่งคั่งได้ในระยะยาว
“ตราบใดที่บิตคอยน์ยังอิงกับเฟียตอยู่ มันก็ยังไม่ถึงยอดเขา ยังอยู่เพียงแค่ ‘ตีนเขา’ ของรอบใหญ่เท่านั้น”
ในมุมมองของลุงโฉลก “ความรวย” ที่แท้จริง ไม่ได้วัดจากตัวเลขในบัญชี แต่วัดจากสิ่งที่เราถืออยู่ในมือเพราะหากถือเพียงตัวเลขในระบบที่มูลค่าลดลงทุกวัน ก็ไม่ต่างจากภาพลวงตา และนั่นคือเหตุผลที่ Mindset สำคัญกว่าราคาเสมอ
ด้าน พีรพัฒน์ หาญคงแก้ว ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัท คริปโตมายด์ แอดไวเซอรี่ จำกัด มองภาพตลาดจากมุมของ “เม็ดเงิน” ที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก และเชื่อว่าปี 2026 จะเป็นช่วงเวลาที่นักลงทุนต้อง “เริ่มวางแผนเอาเงินออก” แล้ว
พีรพัฒน์ กล่าวว่า แม้ในระยะสั้นธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะยังไม่ประกาศทำ QE อย่างเป็นทางการ แต่ในความเป็นจริง เฟดได้เริ่มทำ QE แบบลับ ๆ แล้วผ่านมาตรการทางการเงินในรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งเขาเรียกว่า “QE, Not QE”
“ตอนนี้เหมือนเงินมันอั้นอยู่ เฟดลดดอกเบี้ยแล้ว แต่เศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังอยู่ในภาวะชัตดาวน์เงินจึงยังไม่ไหลออกมาจริง”
ทั้งนี้ พีรพัฒน์มองว่า ในรอบนี้ Cycle ของตลาดรอบนี้ อาจยาวกว่าที่หลายคนคิด แต่ปริมาณเงินที่เข้าสู่สินทรัพย์เสี่ยง เช่น คริปโทฯ จะไม่มากเท่ารอบก่อนหน้า ถึงอย่างนั้นก็ยังมีเงินใหม่ไหลเข้ามาเรื่อย ๆ เพียงแต่อัตราเพิ่มจะลดลง
พีรพัฒน์ยังมองว่า บิตคอยน์มีโอกาสแตะระดับ 150,000 ดอลลาร์ ได้ในปีหน้า แต่ก็เตือนนักลงทุนว่า ควรเริ่มทยอยขายทำกำไรบางส่วนเช่นกัน
นอกจากนี้ ในมุมมองของพีรพัฒน์ บิตคอยน์อาจเป็น “สกุลเงิน” ได้ในเชิงเทคนิค แต่จะยังไม่สามารถใช้ในชีวิตประจำวันอย่างแพร่หลาย ตราบใดที่ราคายังแกว่งแรงและยังคงทำหน้าที่เป็น “สินทรัพย์เพื่อเก็งกำไร” มากกว่า “เงินสำหรับใช้จ่ายจริง”
ชวิศ กฤษณานุวัตร์ เจ้าของเพจ Srisiam มองว่า การที่ตลาดบิตคอยน์พักตัวในช่วงที่ผ่านมา ถือเป็นเรื่อง “ดี” มากกว่าร้าย เพราะช่วยให้ตลาดได้รีเซ็ต ก่อนจะเริ่มต้นรอบขาขึ้นใหม่
“ถ้ากระแสเงินยังคงเข้ามา และบิตคอยน์ยังยืนเหนือ 100,000 ดอลลาร์ได้อย่างมั่นคง ปีหน้าเราอาจได้เห็นราคาขยับขึ้นถึง 150,000–170,000 ดอลลาร์ได้”
โดย ชวิศ กล่าวว่า ระดับ 100,000 ดอลลาร์ ถือเป็นแนวต้านเชิงจิตวิทยาของนักลงทุนทั่วโลก หากราคาทะลุขึ้นไปได้ จะเกิดกระแสความเชื่อมั่นครั้งใหม่ และเม็ดเงินจากทั้งรายย่อยและสถาบันจะเริ่มไหลกลับเข้าสู่ตลาดอีกระลอก
อย่างไรก็ตาม ชวิศยังมองว่า ตลาดรอบนี้แตกต่างจากบูลรันในอดีตอย่างชัดเจน เพราะ “ผู้เล่นหลัก” ไม่ใช่กลุ่มรายย่อยที่เข้ามาเก็งกำไรเหมือนรอบก่อน แต่เป็น สถาบันการเงินจากฝั่งตลาดการเงินแบบดั้งเดิม ที่เริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้น ผ่านการลงทุนใน Bitcoin ETF
ชวิศเสริมว่า สิ่งที่ต้องจับตาต่อไปคือ Altcoin ETF ซึ่งอาจเป็นตัวจุดประกายให้เกิด “AltSeason” หรือช่วงที่เหรียญรองพุ่งแรงตามบิตคอยน์
“ตอนนี้มี ETH ETF แล้ว แต่ยังไม่พอ ต้องดูว่ากระแสเงินจะไหลเข้า ETH มากพอหรือไม่ และปีนี้ SOL อาจกลายเป็นอีกตัวแปรสำคัญที่ช่วยผลักให้ตลาด Altcoin กลับมาร้อนแรงได้อีกครั้ง”
รายงานและเรียบเรียง : สหรัฐ ฉัตราพงษ์