
ภายในงาน Bitkub Summit ได้มีการเสวนาในหัวข้อ THE INVESTMENT WARS: สมรภูมิการลงทุน (Crypto vs Stock) โดยมีผู้เข้าร่วมเสวนาคือ พิริยะ สัมพันธารักษ์, โฉลก สัมพันธารักษ์, ประกิต ศิริวัฒนเกตุ, และ อัครพงศ์ ขวงธนะชัย
โฉลก สัมพันธารักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Chaloke Dot Com กล่าวว่า การที่ Bitcoin จะขึ้นถึงระดับ 1 ล้านดอลลาร์ ขึ้นอยู่กับ “ความเร็วในการพิมพ์เงินของโลก” หรืออัตราเร่งของการผลิตเงิน เมื่อเงินดอลลาร์ด้อยค่าลง มูลค่าของบิตคอยน์ก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นตามธรรมชาติของมัน
ลุงโฉลกกล่าวว่า อย่ามองแค่ราคา แต่ให้มองที่หลักการ เพราะกว่าบิตคอยน์จะพิสูจน์ตัวเองได้ว่าเป็น Store of Wealth ก็ใช้เวลาหลายปี ซึ่งนี่คือ “ฟังก์ชันแรก” ของบิตคอยน์ที่โลกเริ่มยอมรับแล้วในฐานะสินทรัพย์เก็บมูลค่า ที่สามารถรักษามูลค่าได้ในระยะยาวโดยไม่ถูกลดค่าจากการพิมพ์เงินของรัฐบาล
สำหรับ “ฟังก์ชันที่สอง” ลุงโฉลกมองว่ายังไม่มีใครรู้แน่ชัดว่ามันจะเป็นอะไรในอนาคต อาจจะกลายเป็น “เงิน” หรืออาจมีบทบาทใหม่ที่เรายังไม่รู้ แต่หากวันนั้นมาถึง เมื่อโลกค้นพบฟังก์ชันใหม่นี้ราคาก็อาจ “กระโดดจากหลักแสนสู่หลักล้านดอลลาร์” ได้ ซึ่งตอนนี้สิ่งที่พิสูจน์ได้แน่นอนแล้ว คือบิตคอยน์คือ Store of Wealth ส่วนราคาจะไปถึงไหนนั้น ไม่มีใครตอบได้
ด้านฝั่งหุ้นอย่าง อัครพงศ์ ขวงธนะชัย เจ้าของเพจ StockManday มองว่า “การซื้อหุ้นไทยตอนนี้ เหมือนการย่นเวลาไปถึง 13 ปีก่อน” หรือเท่ากับการลงทุนในช่วงเดือนตุลาคมปี 2012
เขาเสริมว่า นักลงทุนไทยจำนวนมากมีมายด์เซ็ตผิดตั้งแต่ต้น เพราะมองหุ้นเป็นเพียงเครื่องมือเก็งกำไร ทั้งที่แท้จริงแล้ว “หุ้นคือบ้านหลังสุดท้ายของเรา” การลงทุนในหุ้นจึงควรคิดเหมือนการเลือกซื้อบ้าน ต้องซื้อเก็บไว้ระยะยาว แต่ก็อย่าซื้อจนเป็นเจ้าของทั้งหมู่บ้าน
อัครพงศ์ ระบุว่า ดัชนีหุ้นไทยขณะนี้ยังต้องลุ้นให้กลับขึ้นไปยืนเหนือระดับ 1,400 จุด หากทำได้ จะเป็นสัญญาณว่าตลาดมีแนวโน้มเข้าสู่ขาขึ้นอีกครั้ง แต่หากราคาย่อตัวและ หลุด low อาจกลับเข้าสู่ขาลง
อย่างไรก็ตาม หากเกิดการ “ย่อแล้วดีด” จะเป็นจุดเริ่มต้นของขาขึ้น เขาจึงมองว่าช่วงนี้คือจังหวะที่ “หุ้นไทยน่าเก็บ” สำหรับนักลงทุนระยะยาวที่เข้าใจพื้นฐานและพร้อมถือรอการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระยะถัดไป
อ.ตั๊ม พิริยะ สัมพันธารักษ์ ผู้ก่อตั้ง RightShift และกรรมการบริหาร บริษัท โฉลกดอทคอม จำกัด กล่าวว่า การลงทุนใน Bitcoin ไม่ควรยึดติดกับราคาที่จะไปถึง “กี่บาท” แต่ควรมองที่ “คุณค่า” ของมันในฐานะเงินที่มีความแข็งแกร่งที่สุด
การเข้าใจว่ามันสามารถเป็น store of value และเป็นเครื่องมือป้องกันเงินเฟ้อได้คือสิ่งสำคัญ เขาเชื่อว่าการถือ Bitcoin เปรียบเสมือนการออมใน “เงินที่ไม่มีใครพิมพ์เพิ่มได้” และควรเก็บรักษาไว้ด้วยตัวเอง เพื่อเรียนรู้ธรรมชาติของระบบการเงินแบบใหม่ที่ Bitcoin เป็นตัวแทน
ส่วน ประกิต ศิริวัฒนเกตุ กรรมการผู้จัดการ บลจ. เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ จำกัด มองว่า แม้ประเทศไทยจะเผชิญความผันผวนจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง แต่พื้นฐานเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว เห็นได้จากผลประกอบการของธนาคารพาณิชย์ที่ออกมาดีขึ้น และสินเชื่อที่กลับมาขยายตัว สะท้อนว่า “ฐานรากเศรษฐกิจกำลังซ่อมแซมตัวเอง” แค่รอวันที่ทุกอย่างมั่นคงขึ้น ก็จะทำให้ตลาดหุ้นไทยเติบโตตาม
ในมุมเปรียบเทียบระยะ 5–10 ปีข้างหน้า อัครพงศ์ มองว่า นักลงทุนควรพิจารณาจังหวะการลงทุนให้ดี เพราะตอนนี้บิตคอยน์อยู่ในระดับราคาสูง ขณะที่หุ้นไทยอยู่ในจุดต่ำที่น่าสะสม เขาแนะนำให้ “เน้นเก็บหุ้นระยะยาว” เพื่อสร้างผลตอบแทนในอนาคต ส่วนบิตคอยน์เหมาะสำหรับการถือเพื่อเก็งกำไรในรอบสั้น
ขณะที่ อ.ตั๊ม มองว่า บิตคอยน์ยังเป็นทางเลือกการออมที่แข็งแกร่งที่สุดในระยะยาว เพราะไม่ถูกลดค่าจากเงินเฟ้อ เขาเลือกออมใน “ทองคำและบิตคอยน์” ควบคู่กัน และอยากเห็นตลาดหุ้นในอนาคตที่เปิดให้บิตคอยน์ถูกนำมาใช้ในการเทรดได้จริง
ส่วน ลุงโฉลก สัมพันธารักษ์ ปิดท้ายว่า บิตคอยน์คือ “ตัวเลือกเดียวที่เหลืออยู่” ในโลกการเงินยุคใหม่ เพราะเป็นสินทรัพย์ที่ผลิตเพิ่มไม่ได้ มีจำนวนจำกัด และไม่ขึ้นอยู่กับระบบใด ๆ มองว่าเป็น Store of Wealth ที่ปลอดภัยที่สุดในยุคเงินเฟ้อ และไม่มีสินทรัพย์ใดเทียบเท่าได้
รายงานและเรียบเรียง : สหรัฐ ฉัตราพงษ์
✅Better Trade 2025 : ปลดล็อคความคิด พิชิตโอกาส ฉลาดลงทุน
ลงทะเบียนร่วมงานได้ที่ : https://www.zipeventapp.com/e/Better-Trade-2025