
Bitkub Summit 2025 ได้จัดเสวนาในหัวข้อ “3 ทหารเสือ โทเคนไทย ไปอย่างไรต่อ?” โดยมีผู้เสวนาคือ นายธนวินท์ รัฐเมธา รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ เวนเจอร์ส จำกัด นายภาสกร ปานนอก ผู้ร่วมก่อตั้ง และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทคับ บล็อคเชน เทคโทโนโลยี จำกัด นายวัชระ เอมวัฒน์ Co-CEO บริษัท ซิคส์ เนทเวิร์ค จำกัด ร่วมแลกเปลี่ยนทิศทางการพัฒนา “บล็อคเชนไทย” เพื่อสร้างระบบนิเวศสินทรัพย์ดิจิทัลที่เติบโตอย่างยั่งยืน
ในการเสวนา ทั้งสามบริษัทต่างแสดงจุดยืนในการผลักดันการใช้งานจริงของบล็อกเชน โดยเฉพาะในภาคเศรษฐกิจจริง ผ่านเทคโนโลยี RWA (Real World Asset Tokenization) ซึ่งเป็นหนึ่งในเทรนด์สำคัญของอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลทั่วโลก
นายภาสกร กล่าวว่า เทรนด์การใช้งาน Stablecoin กำลังเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่ง KUB Chain เองก็กำลังเดินหน้าในทิศทางเดียวกัน ด้วยการดึง Stablecoin ชั้นนำอย่าง USDT และ USDC เข้ามาอยู่ในเชน เพื่อเพิ่มสภาพคล่อง และที่สำคัญคือเปิดโอกาสให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาใช้งานในเชนด้วย
อีกทั้ง นายภาสกร ยังวางแผนผลักดันการมี Stablecoin สกุลเงินบาทเพื่อใช้ในเชนในอนาคต โดยทิศทางหลังจากนี้คือ จะดึงเงิน Stablecoin เข้ามาใช้ในเชนมากขึ้น, สร้างแอปพลิเคชันที่สามารถใช้ได้จริง ส่วน RWA จะโฟกัสไปที่ Carbon Credit และ Green Tokenization
ด้านนายธนวินท์ กล่าวว่า JFIN Chain ยังคงโฟกัสการใช้งานในภาคธุรกิจ (B2B) และภาคเอกชน โดยเดินหน้าผลักดันโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล ให้สามารถนำไปใช้งานได้จริง โดยเฉพาะในรูปแบบ Private Smart Contract ซึ่งเป็นระบบที่รองรับการใช้งานแบบปิดและปลอดภัย เพื่อใช้ในองค์กร และมหาวิทยาลัย
ในแง่ของสถิติ ปัจจุบัน JFIN Chain มี Active Wallet อยู่ที่ประมาณ 200,000 บัญชี จากจำนวนกระเป๋าทั้งหมดกว่า 2 ล้าน Wallet และมีจำนวนเหรียญที่ถูกนำไป Stake รวมกว่า 20 ล้านเหรียญ
ขณะที่ นายวัชระ วางเป้าชัดเจนในการเป็นผู้นำ RWA โดยเน้นความร่วมมือกับภาคอสังหาริมทรัพย์และโครงสร้างพื้นฐาน เช่น โครงการขนาดใหญ่ที่มีรายได้กลับคืนมาและสามารถปันผลเป็น Yield ให้นักลงทุนได้
โดยปัจจุบัน นายวัชระ กล่าวว่า SIX Network มี TVL ราว 400–500 ล้านบาท และตั้งเป้าแตะ 1,000 ล้านบาทภายในปีหน้า พร้อมทั้งมีแผนขยายการขอ Licnese ในต่างประเทศเพื่อเติบโตในระดับสากลอีกด้วย
ในช่วงท้าย นายภาสกรกล่าวว่า การประเมินศักยภาพของ KUB Chain ไม่ควรดูแค่จำนวนธุรกรรมเท่านั้น แต่ควรพิจารณา “คุณภาพของธุรกรรม” และ “มูลค่ารวมที่ถูกล็อกไว้ในระบบ” หรือ TVL (Total Value Locked) ซึ่งเป็นตัวชี้วัดความแข็งแรงของระบบนิเวศโดยตรง
โดยปัจจุบัน KUB Chain มี TVL อยู่ที่ประมาณ 10 ล้านดอลลาร์ และคาดว่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่องจากแผนผลักดัน Stablecoin, การขยายฐานผู้ใช้งานต่างประเทศ และการสร้าง Use Case ที่ใช้งานได้จริงบนเชน
นายภาสกร มองว่า KUB เปรียบเสมือน “เสือที่กำลังจะตื่น” ด้วยแผนงานในอนาคตที่เริ่มชัดเจน ทั้งการนำ USDT และ USDC เข้ามาเพิ่มสภาพคล่อง การพัฒนาแอปพลิเคชันเพื่อการใช้งานจริง และการเปิดทางให้นักลงทุนต่างชาติสามารถเข้าถึง KUB Chain ได้ง่ายขึ้น
เมื่อการใช้งานจริงเพิ่มขึ้น ความต้องการเหรียญ KUB ก็จะสูงขึ้นตาม ซึ่งจะส่งผลต่อราคาตลาดในระยะยาว โดยเชื่อว่าในปี 2026 จะเป็นช่วงเวลาสำคัญที่ KUB จะกลับมาอยู่ในความสนใจของนักลงทุนอีกครั้ง
รายงานและเรียบเรียง : สหรัฐ ฉัตราพงษ์