
“ผมเชื่อว่า บิตคอยน์เป็นเรื่องของทุกคน แต่ความเป็นจริงคือ คนจำนวนมากยังไม่เข้าใจมัน ยังมีผู้คนอีกเป็นล้านที่เราต้องออกไปให้ความรู้ ผมรู้สึกอินกับการสอนเรื่องนี้ ผมชอบสอน และชอบเห็นผลลัพธ์เมื่อคนที่เรียนแล้วชีวิตเขาดีขึ้น นั่นคือสิ่งที่เติมความหมายให้กับงานของผม”
ในวงการบิตคอยเนอร์เมืองไทย “อ.ขิง” Right Shift เป็นชื่อลำดับต้นๆ ที่เราอยากทำความรู้จัก ด้วยบุคลิกลักษณะเฉพาะ ตั้งแต่การแต่งตัวที่คงความเป็นแบรนด์ “ขิง สิรภพ” การใช้วาทศิลป์ ที่แฝงไปด้วยปรัชญาราวกับคนสูงวัยเจนจัดโลก แต่จริงๆ เขาอายุยังไม่ผ่านหลัก 3
ตัวตึงของ Right Shift สายให้ความรู้บิตคอยน์ที่ร่วมบรรยายคู่กับ อ.ตั๊ม พิริยะ อยู่บ่อยครั้ง เขามีคอร์สสอนเกี่ยวกับบิตคอยน์เป็นของตนเอง และเป็นคนที่ศึกษาเรื่องเกี่ยวกับกฎหมายมากที่สุดในทีม Right Shift
วันหนึ่งเขาตัดสินใจลาออก!…ไม่ใช่จากทีม Right Shift แต่จากสนามแข่งหนูที่รู้สึกว่ามันตันพร้อมประกาศก้าวเข้าสู่เส้นทางของ “การสอนบิตคอยน์” แบบเต็มเวลา
เขากำลังคิดอะไรอยู่ในสถานการณ์ที่ใครๆ เกาะงานประจำแน่น ท่ามกลางสื่อหลักกระพือข่าว AI จะมาแทนคน แรงงานเตรียมตกงาน ตามด้วยปรากฎการณ์ธนาคารอัญเชิญคนในวัย 40+ เข้าโครงการเกษียณ
เพียงแค่การสอนบิตคอยน์มันจะยังชีพได้? งานประจำที่นำส่งรายได้อย่างสม่ำเสมอกลับไม่ใช่เสาหลักที่เขาเกาะเกี่ยว ที่สำคัญถ้ามองในเชิงธุรกิจ “ตลาดบิตคอยน์” มันน่าสนใจมากขนาดนั้น…หรือมันมีอะไรที่พวกเรายังไม่รู้?
ทุกคำตอบอยู่ในบทสนทนานี้

“คาดหมายว่าจะใช้เวลาสัมภาษณ์ผมเท่าไหร่?”
“8 ชม.เลยไหมคะ?”
“เฮ๊ย! ผมไม่ใช่ Jakk!!”
เป็นการเริ่มต้นบทสนทนา ที่มีการเอ่ยถึงบุคคลที่สามอย่าง “Jakk Goodday” (เขาสามารถพูดได้ 8 ชม.จนเป็นที่กล่าวขาน) หนึ่งในผู้ก่อตั้งบริษัท Right Shift และยิงใยอ.ขิงเข้าร่วมชายคาสังกัด RS (Right Shift = RS ที่ไม่ใช่ค่ายเพลงเฮียฮ้อ)
เป็นเพราะ “อายุไม่มาก” หรือเปล่าจึงกล้าออกมาเสี่ยงข้างนอก และเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ตัดสินใจลาออกจากงานประจำได้ง่ายขึ้น?
“ไม่เกี่ยว!” อ.ขิง ตอบแบบทันที พร้อมขยายความต่อว่าคำสอนยอดนิยมที่เรามักได้ยินคือ “อายุน้อยให้เสี่ยง อายุมากให้ระวัง” แนวคิดนี้มีเหตุผลในตัวมันเอง เพราะเมื่อเราอายุมากขึ้น เวลาที่เหลือในการเรียกคืนความสูญเสียสั้นลง ความจำเป็นต้องรักษาเงินทุนเพื่อใช้ในวัยเกษียณจึงเพิ่มขึ้น ทำให้การรับความเสี่ยงมีน้ำหนักมากขึ้นตามอายุ
แต่การพิจารณาความเสี่ยงไม่ควรยึดอายุเป็นเกณฑ์เดียว ความสามารถในการรับความเสี่ยง ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยรวมถึง “ทุน” หรือเงินสำรองที่มีอยู่ด้วย
หากคุณมีฐานะทางการเงินที่มั่นคง “มีเงินออม“ คุณจะมีความยืดหยุ่นมากกว่า ในทางตรงกันข้ามหากคุณไม่มีทุนสำรอง การเสี่ยงแม้ในวัยยังหนุ่มสาวก็อาจส่งผลร้ายแรงได้
อ.ขิง ยกตัวอย่างกระบวนการของตนเอง ทั้งการสะสมคลิป สอนงาน รายการ หรือผลงานที่คนย้อนกลับไปดูได้เหล่านี้คือสินทรัพย์ ที่ช่วยยืนหยัดเมื่อร่างกายเริ่มอ่อนแรงในอนาคต งานสอนหรือการให้ความรู้สามารถทำได้แม้อายุมากขึ้น ตราบใดที่เรามีชื่อเสียงและแทร็กเรกคอร์ด
ดังนั้น แทนที่จะยึดกฎตายตัวแบบ “อายุน้อยเสี่ยงได้ อายุมากไม่ควรเสี่ยง” ควรมองเป็นแผนผสมพัฒนาทักษะ สร้างแทร็กเรกคอร์ด สะสมเงินสำรอง และออกแบบช่องทางรายได้ที่ไม่พึ่งแค่แรงกาย เพื่อให้การตัดสินใจเสี่ยงมีความสมเหตุสมผลไม่ว่าคุณจะอายุเท่าไร
เราได้ฟังคลิปที่เปิดใจเรื่องการลาออก อยากทราบว่าตอนทำงานประจำความสุขคืออะไร? และทำไมลาออกทั้งที่ก็สามารถทำอย่างอื่นควบคู่กับกันได้
จากการสัมผัสกับการทำงานประจำ (6 ปีเศษ) ความสุขที่ได้จากการทำงานคือ “มีเพื่อนร่วมงานที่ดี” ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นเพราะคัดผู้ร่วมทีมเองกับมือ หลังจากเข้าทำงานได้ไม่ถึงครึ่งปีทีมเก่าลาออก งานที่เขาทำเป็นสายออกแบบสถาปัตยกรรมภายใน
งานแรกในชีวิตหลังเรียนจบทำไม่นานก็ได้เลื่อนเป็นหัวหน้าแล้ว และเส้นทางก็หยุดอยู่แค่นั้น เพราะโครงสร้างองค์กรไม่เปิดโอกาสให้ก้าวหน้าไปมากกว่านี้ ต่อให้พยายามผลักตัวเองมากเพียงใดก็เหมือนจะชนเพดานที่สูงสุดแล้ว จึงต้องอยู่ไปเรื่อย ๆ ทั้งที่รู้ดีว่าไม่มีวันเติบโต
“ถามว่าก็ที่ยังอยู่เพราะว่าอะไร ในเมื่อไม่เห็นว่าเราโต ก็เพราะว่ามันอยู่ไปได้เรื่อย ๆ มันโอเคในแง่เวลากับในแง่การเงิน มันโอเคเลยแหละ มันไม่ได้บี
ก่อนตัดสินใจลาออกเรามีการวิเคราะห์ SWOT ของบริษัทเป็นอย่างดี วันนี้อยากให้ลองวิเคราะห์ SWOT ส่วนตัวบ้าง Goal ของ อ.ขิงคืออะไร
เขาไม่เชื่อในการตั้งเป้าชีวิตเป็นตัวเลขหรือสถานะตายตัว เช่น ต้องมีเงินจำนวนหนึ่งเมื่ออายุเท่านั้นเท่านี้ เพราะเมื่อถึงเป้าจริง ๆ “แล้วไงต่อ?” แทนที่จะมีความหมายยั่งยืน ดังนั้น จุดมุ่งหมายที่แท้จริงสำหรับเขาจึงเป็น “สภาวะ” คือการได้เดินบนเส้นทางที่ทำให้มีความสุข โดยไม่ยึดติดกับเส้นชัยเชิงวัตถุ
“Goal ที่ผมเชื่อมันคือสภาวะที่ผมมีชีวิตไปได้ แล้วผมมีความสุข ไม่ใช่เส้นชัย แต่คือเส้นทางที่ผมเดิน ตราบใดที่ผมเดินบนเส้นทางนี้แล้วผมมีความสุข”
ความสุขของเขาเกิดจากการเห็นผลลัพธ์เชิงปฏิบัติของการสอน เมื่อคำพูดหรือการกระทำเล็ก ๆ ของตนเองช่วยเปลี่ยนชีวิตคนอื่นได้ นั่นคือความสำเร็จที่จับต้องได้และมีความหมายมากกว่าการสะสมตัวเลขทางการเงิน
เขายังเตือนว่า ความมั่งคั่งเชิงตัวเลขสามารถถูกลดความหมายลงได้จากเงินเฟ้อหรือการพิมพ์เงิน ทำให้เป้าตัวเลขในวันนี้อาจไม่พิเศษอีกต่อไปในอนาคต
“มี 50 ล้าน มี 100 ล้านแล้วไง แล้วยิ่งมีเงินเฟ้อมันจะยิ่งปัญญาอ่อนลงเรื่อยๆ 50 ล้านวันนี้ดูเหมือนเยอะ ผ่านไปเงิน 50 ล้านอาจจะไม่ได้พิเศษอะไร”
แต่ไม่ใช่ว่าเขาปฏิเสธเงิน เพราะหากมีโอกาสสร้างรายได้ เพื่อซื้อบิตคอยน์หรือสินทรัพย์อื่น ๆ เขาก็พร้อมคว้าไว้แต่สิ่งนั้นเป็น “ทางเลือก” ไม่ใช่เป้าหมายสุดท้าย ชีวิตที่ดีสำหรับเขาจึงเป็นเรื่องของเส้นทาง ความหมาย และผลกระทบที่เกิดกับผู้อื่นมากกว่าการไล่ตามสถิติตัวเลข
บางครั้งการรู้ว่า ไม่ชอบอะไร…ก็ทำให้เราค้นพบว่า เราชอบอะไร
เพื่อที่เราจะได้รู้จักเขามากกว่าแค่ “อ.ขิง right shift” เราจึงขอให้เล่าประวัติตัวเองพอสังเขป
เขาเล่าย้อนถึงเส้นทางการเรียนว่าตั้งแต่เรียนจบ ม.6 ก็ชัดเจนแล้วว่าตัวเองรู้สึกชอบ “ศิลปะการออกแบบและการสร้างสรรค์” ซึ่งการที่รู้ว่าชอบอะไรก็เพราะ “เขารู้ว่าตัวเอง ไม่ชอบอะไร” นั่นคือการท่องจำตำราแล้วมาสอบ ถึงแม้จะทำสิ่งเหล่านั้นได้ดีแต่ลึกๆ อยากทำชิ้นงานที่จับต้องได้และให้เครดิตกลับมาที่ผู้สร้างสรรค์ผลงานมากกว่า
เขาจึงตัดสินใจเลือกเรียนด้านการออกแบบและการใช้ความคิดสร้างสรรค์ และเข้าศึกษาต่อระดับปริญญาตรีที่คณะสถาปัตยกรรม ศิลปอุตสาหกรรม (Industrial Design) หรือ “การออกแบบผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม” ที่สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ซึ่งมีโรงปฏิบัติงานที่น่าจะใหญ่และครบครันที่สุด ในสถาบันการศึกษาหรือคณะที่สอนหลักสูตรแบบเดียวกันในยุคนั้น
“ก็สมใจอยาก ได้ปั้นเซรามิกซ์ เหลาไม้ เชื่อมเหล็ก ถือว่าชอบมาก สนุกมาก”
แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่า…การที่คนเราอยากมีเครดิตในงาน มันอาจจะมีแรงบันดาลใจบางอย่างหรือมีใครสักคนหรือไม่ ที่เป็นต้นแบบในช่วงวัยขณะนั้น
อ.ขิง ครุ่นคิดอยู่สักครู่ เพื่อย้อนไปช่วงรอยต่อก่อนเข้ามหาวิทยาลัย “อืมมม…ส่วนหนึ่งคือผมเรียนตามแม่ แม่เป็นรุ่นพี่ แต่แม่ก็เตือนแล้วนะว่าอย่าเรียนตาม มันเหนื่อยนะ แต่ผมไม่เชื่อ”
ทักษะจากโปรแกรมสอนให้ทำงานได้แต่ทักษะจากการอ่าน…สอนให้เราคิดเป็น

เมื่อพูดถึงคุณแม่ ประตูบ้านของ ดช.สิรภพ ก็เริ่มเปิด…เขาเติบโตมาในบ้านที่แม่ทำงานด้านกราฟิกดีไซน์ หลังเรียนจบแม่เข้าสู่วงการนี้เต็มตัว ทำให้บรรยากาศรอบตัวเขาในวัยเยาว์คือโลกของโปรแกรมออกแบบ Illustrator และ Photoshop เขาซึมซับทักษะเชิงเทคนิคจากแม่พอสมควร ไม่ว่าจะเป็นการใช้ซอฟต์แวร์หรือเครื่องมือ
แต่สิ่งที่ได้มากกว่าคือ “วิธีคิด” และ “บุคลิกภาพ” ที่แม่ถ่ายทอดให้
แม่เป็นคน “รักการอ่าน” และ “สะสมหนังสือ” ที่บ้านเต็มไปด้วยกองหนังสือ เขาเล่าว่าแม้การเรียนรู้โปรแกรมจะช่วยสร้างสกิล แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือการถูกปลูกฝังให้เห็นคุณค่าของการอ่านและการคิดวิเคราะห์ แม่มักบอกเสมอว่า ถ้าอยากได้อะไรที่เกี่ยวกับการเรียนรู้ โดยเฉพาะหนังสือแม่พร้อมซื้อให้เต็มที่
เขายอมรับว่า อาจจะถือว่าตัวเองโชคดีที่ได้เติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่เกื้อหนุน ทั้งจากแม่ที่ปลูกฝังการอ่านและการใช้เครื่องมือออกแบบ แต่เขาก็ไม่อยากให้มองว่าเป็นเรื่องโชคชะตา ที่เปรียบเทียบได้กับใคร เพราะแต่ละคนต่างก็มี “บริบท” ที่ไม่เหมือนกัน
ตลอดเส้นทางของวัยเด็กจนเข้ามหาวิทยาลัย ยังไม่เห็นมีบริบทใดที่เกี่ยวข้องกับการเงิน การลงทุนเลย รู้สึกว่าเรื่องการเงินการลงทุนห่างไกลจาก อ.ขิง
“บ้านผมไม่มีใครลงทุนเลย สิ่งที่เสี่ยงที่สุดที่บ้านผมทำคือ ซื้อสลากออมสิน”
ครอบครัวเขาไม่ได้มีการลงทุนหรือการเสี่ยงใด ๆ เลย อย่างมากคือ “การออม” ซึ่งถือเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยที่สุดแล้วในมุมมองของครอบครัวในยุคนั้น ทำให้เขาซึมซับบรรยากาศชีวิตที่มั่นคง ไม่หวือหวา
เมื่อมีคนรอบตัวบอกว่าเขาเป็นคนที่ไม่ชอบความเสี่ยง เขาก็ไม่ได้ปฏิเสธ เพราะหากมองเทียบกับคนที่เลือกเส้นทางการทำงานแบบสตาร์ตอัป ซึ่งเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนและมีโอกาสล้มเหลวสูง บ้านของเขากลับอยู่กันแบบตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง
ทั้งพ่อและแม่ ต่างก็ทำงานที่เดียวตั้งแต่เรียนจบจนถึงวันเกษียณ ซึ่งสะท้อนชัดเจนว่าครอบครัวปลูกฝัง “ความมั่นคง” มากกว่าการแสวงหาความเสี่ยงคุณพ่อเป็นข้าราชการ คุณแม่ก็ทำงานที่เดียวตั้งแต่เรียนจบจนถึงเกษียณ เรื่องนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของครอบครัวเขาเท่านั้นแต่ยังสะท้อนภาพของคนรุ่นพ่อแม่ในยุคนั้น ที่ส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับ “ความมั่นคง”
บรรยากาศเช่นนี้ยังสัมพันธ์กับช่วงที่เศรษฐกิจไทย เปิดรับการลงทุนจากบริษัทญี่ปุ่นจำนวนมาก หลังจากข้อตกลงทางการเงินระดับโลก ทำให้โรงงานอุตสาหกรรมและฐานการผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าของญี่ปุ่นเข้ามาตั้งในไทย คนจำนวนมากจึงเลือกทำงานในบริษัทเหล่านี้ไปตลอดชีวิตและวัฒนธรรมการทำงานของคนญี่ปุ่นคือทำที่เดียว
การลงทุน ไม่ได้เริ่มจากความรู้ที่สมบูรณ์แบบ แต่เริ่มจากความอยากรู้ และกล้าที่จะลงมือ
เสี่ยงสุดของที่บ้านคือสลากออมสิน แล้วอะไรคือ “จุดเปลี่ยน” ที่ทำให้เริ่มตั้งคำถามกับการเงิน การลงทุน?
เมื่อชีวิตก้าวข้ามจาก “ดช.สิรภพ” มาถึง “นาย สิรภพ” ในสมัยเรียนปริญญาตรี “วิชาเศรษฐศาสตร์” น่าจะเป็นวิชาที่ “สะกิดใจ” เขาเรื่องการลงทุนจากเนื้อหาบางส่วนที่แทรกอยู่ในรายวิชา
ภาพจำของเขาคือ มันเป็นวิชาที่เพื่อนร่วมรุ่นเข้าเรียนกันน้อยมากจากประมาณ 70-80 คน มีเพียงเขาและเดอะแก๊งค์เด็กเรียนอีก 7-8 คนเท่านั้นที่เข้าเรียน ด้วยเพราะไม่มีการเช็คชื่อทำให้เพื่อนๆ ส่วนใหญ่เลือกที่จะใช้เวลาของวิชาเศรษฐศาสตร์ ไปเร่งทำงานในโปรเจกต์ที่หน่วยกิตมากกว่าที่ยังค้างคาอยู่
“ผมอยากรู้ ผมก็ไปนั่งเรียน ในวิชานั้นก็ทำให้ได้รู้จักว่า..มันมีการลงทุน และในเวลาต่อมาแก๊งค์ของผมสองสามคนที่เรียนอยู่ด้วยกัน พอเรียนจบมาก็ชวนกันลงทุน”
เขาจบปริญญาตรีช่วงกลางปี 2018 ก่อนเริ่มเข้าสู่เฟิร์สจ็อบเบอร์ในปลายปี 2018 และตัดสินใจเปิดพอร์ตลงทุนหุ้นครั้งแรกจากการแนะนำของเจ้าหน้าที่ธนาคาร “นั่นคือก้าวแรก” แม้ในตอนนั้นจะยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่า “ควรเริ่มต้นอย่างไร” แต่ก็เลือกที่จะลองเพราะภาพจำขณะนั้นเปิดพอร์ตหุ้นมันง่าย ต่างจากบัญชีกองทุนรวมที่เจ้าหน้าที่เรียกร้องเอกสารเยอะแยะ
เขาได้ค้นพบว่า “Mindset ของนักลงทุน” มีหลากหลายแนวทางให้เลือก ไม่ได้มีคำตอบตายตัวว่าต้องทำอย่างไร บางคนเลือกใช้การวิเคราะห์เชิงเทคนิค ดูกราฟ อ่าน อินดิเคเตอร์ นับเวฟ วิเคราะห์ด้วยเครื่องมือ MACD ขณะที่อีกกลุ่มเลือกใช้การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน มองหาหุ้นที่ราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง หวังซื้อถูกขายแพงในระยะยาว
ขณะที่ศึกษาเรื่องหุ้นก็พอจะได้ยินคำว่าบิตคอยน์อยู่บ้าง แต่นึกว่ามันคือเรื่องของการซื้อถูกขายแพงเหมือนการซื้อหุ้น จึงไม่ได้สนใจหรือซื้อไอเดียสินทรัพย์นั้น
เขากระโดดเข้าโลก DeFi ในยุคที่การทำฟาร์มดีฟายเฟื่องฟู เป็นยุคทองต่อจาก ICO และเพจที่เขากดติดตามเพจแรกคือเพจ Kim DeFi Daddy ซึ่งคนในวงการคริปโทในไทยยุคแรกๆ น่าจะรู้จักกันดี
กระทั่งวันหนึ่งขณะศึกษาหาความรู้ในโลกออนไลน์ เขามีโอกาสได้ฟังช่อง KIM Property ในตอนที่มี อ.ตั๊ม พิริยะ เป็นแขกรับเชิญเสียงนุ่มๆ มีคีย์เวิร์ดสะดุดหูเขาคือ “ถ้าการเงินดีคงไม่มีบิตคอยน์” และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการศึกษาอย่างจริงจัง
เมื่อศึกษาไปเรื่อยๆ ก็นำไปสู่ความรู้ความเข้าใจที่มากขึ้น โดยเฉพาะแก่นของบิตคอยน์ คือการเก็บออมไม่ใช่เพียงแค่การซื้อถูกขายแพงแบบนักเก็งกำไร ทำให้เริ่มซื้อไอเดียนี้และเริ่มลงมือเปิดบัญชีกับกระดานเทรดเพื่อซื้อสะสมบิตคอยน์มาเรื่อยๆ เงินเหลือจากเคยเติมพอร์ตหุ้นก็เปลี่ยนมาเติมพอร์ตบิตคอยน์แทน
อ.ขิง ยึดหลักการพัฒนาความรู้ความเข้าใจตนเองด้วยการสอนผู้อื่น ซึ่งก็เริ่มจากกลุ่มเพื่อนเพื่อที่จะตรวจสอบว่าตนเองเข้าใจบิตคอยน์มากขึ้นหรือไม่ ตนเองยังไม่รู้อะไรก็จะไปค้นคว้าเพิ่มเพื่อนำมาสอนผู้อื่น ดังนั้น โดยพื้นฐานของเขามีคาแรกเตอร์ของผู้ที่ชอบให้ความรู้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

เมื่อเป็นคนชอบสอนและเราก็เปิดหน้าสอนมาตลอดย้อนไปบิตคอยน์เนอร์ในยุคแรกๆ มักจะไม่เปิดเผยตัวตน มองประเด็นนี้อย่างไร มันเป็นเพราะอะไร
ในชุมชนบิตคอยน์มีคนสองแบบอยู่ด้วยกัน แบบเปิดเผยตัวตนกับแบบปิดบังตัวตน เขาเห็นต่างกับแนวคิดที่มองบิตคอยน์เป็นสิ่งต้องปกปิด เป็นเรื่องลึกลับซับซ้อนหรือเป็น “ของอันตราย” ที่คนมีต้องซ่อนตัว แต่เชื่อว่าบิตคอยน์ควรเป็นเรื่องปกติ เป็นเงินสำหรับทุกคน ไม่ใช่สิ่งที่ต้องถูกเก็บเป็นความลับเพราะกลัวจะตกเป็นเป้า การปิดบังกลับทำให้คนที่สนใจหรือผู้ที่เข้ามาใหม่ต้องแบกภาระเดียวดาย แทนที่จะทำให้ชุมชนเข้มแข็งขึ้น
ดังนั้น วิธีคิดของเขาจึงเป็นไปในทางตรงกันข้ามกับการซ่อนตัว บิตคอยน์ควรเป็นเรื่องสาธารณะมากขึ้น กระจายความรู้ กระจายความเสี่ยง และสร้างชุมชนที่ช่วยเหลือกัน มากกว่าจะให้คนต้องแอบเก็บไว้คนเดียวจนกลายเป็นภาระหรือเป้าหมายเดียวที่ถูกโจมตี
“เอาจริงๆ มันก็คล้ายๆ พี่ชิต [ดร.วิชิต ซ้ายเกล้า] อยู่เหมือนกัน กูต้มเบียร์คนเดียว มึงก็จับกู แต่ถ้าต้มกันทั้งแผ่นดิน มึงจะจับใคร มันคือการทำให้สิ่งนี้กลายเป็นเรื่องที่ใครๆ ก็ทำได้”
เขามองว่าแม้คำพูดของผู้สอนอาจถูกต้องแต่ผู้ฟังก็มีสิทธิ์สงสัยว่า “เขาเป็นใคร” และจะไว้ใจได้แค่ไหน การเปิดหน้าเปิดตัวตนจึงกลายเป็นเรื่องของความน่าเชื่อถือ และความรับผิดชอบ สร้างความเชื่อมโยงและสร้างความไว้วางใจได้มากกว่า
“อย่าง Right Shift จัดเวิร์คชอป และมีคนเข้าร่วม จริงๆ แล้วเนื้อหามันไม่ได้ก้าวหน้ายิ่งกว่าเนื้อหาฟรีที่เราเคยสอนหรอกแต่ส่วนหนึ่งเพราะว่ามีผู้เข้าร่วมที่ต้องการความเป็นมนุษย์ที่เขาสัมผัสได้”
“ความรู้สึกมีคุณค่า” คีย์เวิร์ดนี้ถูกเอ่ยถึงบ่อยมากในคลิปวิดีโอที่ อ.ขิงบอกเล่าเกี่ยวกับการตัดสินใจลาออกจากงานประจำจึงนำมาสู่คำถามในวันนี้ว่า “ความรู้สึกว่าฉันมีคุณค่า” สำหรับ อ.ขิง อะไรเป็นตัวชี้วัด
เมื่อผลงานของเราไปเปลี่ยนชีวิตใครสักคนให้ดีขึ้น เช่น คำขอบคุณ คอมเมนต์ที่บอกว่าคลิปเรามันช่วยเขาได้ หรือคนที่มาบอกในงาน Meetup ว่าการพูดของเราเปลี่ยนมุมมองเขาไปเลย สิ่งพวกนี้ตอกย้ำให้รู้ว่าแรงงานและความตั้งใจของเราไม่ได้สูญเปล่า
“บางครั้งก็เป็นเรื่องเล็ก ๆ เช่น ยอดวิวในยูทูบที่ขึ้น แปลว่ามีคนเริ่มฟังสิ่งที่เราพูดมากขึ้น มีคนคอมเมนต์ หรือเจอกันแล้วเขาบอกว่า “ชอบมาก” สิ่งเหล่านี้ทำให้เรารู้สึกได้ชัดว่า งานที่เราทำมีผลต่อชีวิตคนอื่นจริง ๆ”
ซึ่งมันไปเชื่อมโยงกับเป้าหมายของการเลือกเรียนสายออกแบบ เพราะการได้สร้างชิ้นงานที่คนเอาไปใช้แล้วชีวิตเขาดีขึ้นนั่นคือความพึงพอใจของช่างฝีมืออย่างแท้จริง ทำด้วยมือ ด้วยความตั้งใจ แล้วมีคนมองเห็นและชื่นชม นั่นแหละคือคำยืนยันว่ามีคุณค่า
ถ้าเป็นความรู้สึกคนที่ทำงานประจำทั่วไป ก็น่าจะเป็นการที่เราอยากได้รับคำชื่นชม ไม่ว่าจะจากเจ้านาย จากหัวหน้า จากองค์กร เพื่อบอกว่าเรามีคุณค่านะ ประมาณนี้ไหม
ก็คงเป็นเรื่องดีที่ได้รับคำชื่นชมจากองค์กร ไม่ว่าจะจากหัวหน้า ผู้บังคับบัญชาหรือเพื่อนร่วมงาน มันให้ความรู้สึกเติมเต็มในเชิงอารมณ์แต่มันยังไกลจากคำว่า “ความรู้สึกมีคุณค่า” ตามมุมมองของ อ.ขิง
“เพราะเราต้องได้รับรู้ว่าผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคือ เราได้ทำให้ชีวิตคนคนนั้นดีขึ้นจริงๆ ในระดับ end user แต่คำชื่นชมเรารู้แค่ในระดับที่ทำงานว่าทำงานเก่ง บริษัทก็โตตาม กำไรบริษัทดีขึ้นนะ”
อ.ขิง ขยายความเรื่องของ “end user” ว่านี่อาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้หลายคน พยายามหาคุณค่าของตัวเอง โดยการทำให้ตนเองรู้สึกได้ชัดว่างานที่ทำอยู่นั้น “มีผลต่อชีวิตคนอื่นจริง ๆ”
สังเกตได้จากพฤติกรรมของคนทำงานที่มักใช้รูปโปรไฟล์ครอบครัว รูปคนที่ตนเองรักเพื่อเตือนตัวเองว่าแม้งานจะเหนื่อย หนัก หรือเราไม่ได้ชอบงานนี้แค่ไหนแต่เราจะ “ทำเพื่อครอบครัวทำเพื่อลูก”
“ผมคิดว่าในเชิงการสร้างสรรค์ มันสัมพันธ์กับการที่เราโฟกัสที่ end user นะ มันคือหลักการของการทำอะไรบางอย่าง ที่เป้าหมายสุดท้ายคือตัวผู้ใช้งานจริง ๆ”
ผมไม่ได้เป็นนักการตลาด แต่คำถามเดียวที่ผมถามทุกโปรเจกต์คือผู้ใช้จะได้อะไร?
ในเชิงการทำงาน ทั้งงานประจำหรือในการออกมา full time สอนบิตคอยน์ คำว่า ‘end user’ สำคัญกับ อ.ขิงขนาดไหน แล้วคำนี้เริ่มเข้ามาในชีวิตหรือวิธีคิดเมื่อไหร่?
แนวคิดเรื่อง “end user” กลายเป็นแกนหนึ่งที่เขาใช้ตัดสินทั้งงานประจำและงานที่ทำเต็มเวลาในปัจจจุบัน โดยคำว่า end user หมายถึงผู้ใช้ปลายทาง คนที่รับคุณค่าจากผลงานของเราในชีวิตจริง แม้ว่าคำนี้จะเป็นศัพท์ทางการตลาด แต่มันสะท้อนหลักคิดง่าย ๆ ว่า “สิ่งที่เราทำควรไปจบที่การเปลี่ยนแปลงชีวิตของผู้ใช้จริง ๆ”
เขายอมรับว่าไม่ได้เริ่มต้นด้วยคำนี้อย่างเป็นระบบ แต่ความรู้สึกไม่สบายใจเวลาทำงานที่ “ห่างจากผู้ใช้” ค่อย ๆ กระตุ้นให้เขาเริ่มโฟกัสเรื่องนี้มากขึ้น ตัวอย่างเช่น การออกแบบคอร์สหรือการทำโปรเจกต์ต่าง ๆ เขาพยายามเชื่อมงานกลับไปที่ผู้ใช้ปลายทางให้ชัดเจนขึ้น เพราะก่อนหน้านั้น งานบางชิ้นถูกขับเคลื่อนผ่านคนกลางหรือกระบวนการย่อย ทำให้เขารู้สึกว่าไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ทำจริง ๆ แล้วช่วยใครหรือเปล่า
เพราะฉะนั้น แม้เขาจะไม่ได้เรียนการตลาดเป็นอาชีพ แต่หลักการคิดแบบมอง “end user” กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการวัดคุณค่าและทิศทางของงาน ถ้างานไม่กระทบผู้ใช้จริงก็ต้องถามตัวเองว่าเรากำลังทำเพื่ออะไร
มีคำกล่าวที่ว่างานที่เรารักถ้ามันไม่มีรายได้ สุดท้ายมันก็อาจจะกลายเป็นความกดดันจนกระทบความสร้างสรรค์ของเราได้ คิดอย่างไร
เขามองเรื่องนี้เป็นความท้าทายมากกว่าปัญหา บางคนอาจจะมี passion กับอะไรบางอย่างที่มันไม่สร้างรายได้มันอาจจะขัดแย้งกัน ก็ต้องหาวิธีบาลานซ์ระหว่างสิ่งที่รักกับความจำเป็นทางเศรษฐกิจ
“ท้าทาย..ก็ต้องคิดว่าจะหาตังค์ยังไงดีวะ (หัวเราะ) ผมโชคดีที่มันไปด้วยกันได้ คือมันมีแนวโน้มที่จะทำได้”
แต่จะว่าไปมันก็ไม่น่าใช่ความบังเอิญหรือโชคดีเสียทีเดียว ที่ทั้งงานที่หลงใหลกับรายได้ที่ไปด้วยกัน หากแต่เป็นการสะสม Proof of Work ของเขาเองต่างหากที่ส่งผลลัพธ์ในวันนี้ ถ้าย้อนไปสัก 4-5 ปีก่อนมีผู้เชี่ยวชาญที่ออกมาให้ความรู้เกี่ยวกับบิตคอยน์น้อยมาก โดยเฉพาะการให้ความรู้แบบเปิดหน้าต่อสาธารณชน ซึ่งนั่นทำให้คนที่ตัดสินใจออกมาสอนและให้ความรู้ตั้งแต่ช่วงแรก ๆ ได้เปรียบอย่างชัดเจนในยุคแรกเริ่มคือ อ.ตั๊ม พิริยะ นอกนั้นแทบไม่ค่อยมี
ดังนั้น หากตัดสินใจเข้ามาให้ความรู้ผู้คนตั้งแต่ในตอนนั้นและช่วยทำให้ชีวิตผู้คนเขาดีขึ้นได้ เราก็จะมีความได้เปรียบในสาขานี้ เมื่อก้าวเข้ามาก่อนและเริ่มสร้างความเชื่อมโยงกับผู้เรียน ผู้ที่เข้ามาทีหลังจะต้องไล่ตามในสนามที่ยังเป็น Blue Ocean นี้
“สมมุติเราตัดความเป็นเพื่อนกันกับทุกคนทิ้งไป แล้วเรามองว่าตรงนี้คือธุรกิจ การที่ผมเข้ามาก่อน ผมก็ได้เปรียบก่อน ตลาดนี้มันโคตร Blue Ocean เลย”
เพราะผู้คนส่วนใหญ่ยังไม่เข้าใจบิตคอยน์อย่างถ่องแท้ คนทั่วไปก็ยังเข้าใจบิตคอยน์น้อยมาก และบิตคอยน์แก้โจทย์บางอย่างที่อัลต์คอยน์อื่น ๆ แก้ไม่ได้และก็ไม่เชื่อว่าจะมีสกุลเงินอื่นที่แก้ปัญหาเดียวกับบิตคอยน์ได้จริง ๆ
“ผมเชื่อว่า บิตคอยน์เป็นเรื่องของทุกคน แต่ความเป็นจริงคือคนจำนวนมากยังไม่เข้าใจมัน ยังมีผู้คนอีกเป็นล้านที่เราต้องออกไปให้ความรู้ ผมรู้สึกอินกับการสอนเรื่องนี้ ผมชอบสอน และชอบเห็นผลลัพธ์เมื่อคนที่เรียนแล้วชีวิตเขาดีขึ้น นั่นคือสิ่งที่เติมความหมายให้กับงานของผม และที่สำคัญคือศักยภาพของบิตคอยน์ยังเติบโตได้อีกมาก”
มุมมองอ.ขิง ทำให้เราเห็นว่าตลาดนี้โตได้อีกมาก แต่การที่ใครจะเข้ามาทำตลาดนี้ อาจต้องใช้ความพยายามในการทำ Proof of Work
วงการบิตคอยน์มีคนหลายกลุ่ม บางคนมีความชำนาญเชิงลึก สามารถอธิบายเรื่องเทคนิคได้อย่างยอดเยี่ยม แต่ผู้ฟังของพวกเขามักเป็นกลุ่มเฉพาะหรือนักพัฒนาขั้นสูง ขณะที่ อ.ขิง เลือกทำหน้าที่พูดเรื่องพื้นฐานทำให้เรื่องซับซ้อนกลับเป็นภาษาที่ชาวบ้านเข้าใจได้
นี่ไม่ใช่การแข่งขัน แต่เป็นการเติมเต็มซึ่งกันและกัน ผู้เชี่ยวชาญในระดับลึก ๆ กับผู้สอนแนวพื้นฐานต่างคนต่างมีพื้นที่ของตัวเอง ตัวอย่างเช่นที่ Bitcoin Learning Center ในเชียงใหม่ มีครู-ผู้สอนคนใหม่ ๆ เกิดขึ้นที่พูดในแนวเดียวกับเขา และสามารถรับช่วงสอนชุมชนท้องถิ่นได้
เพราะเขาไม่สามารถบินไปสอนทุกพื้นที่ได้ตลอดเวลา การที่มีคนพูดเหมือนกันแต่กระจายอยู่ตามโลเคชันต่าง ๆ ช่วยขยายวง และทำให้งานด้านการให้ความรู้เติบโตอย่างเป็นระบบ
อ.ขิง ย้ำว่าในวงการนี้ไม่ได้เป็นการแข่งขันแบบต้องเอาชนะกัน เราสามารถอยู่ร่วมกันและเป็นเพื่อนกันได้ งานด้านการให้ความรู้ไม่ควรถูกยกระดับเป็นการแข่งขันธุรกิจ แต่เป็นหลายช่องทางที่สามารถพัฒนาเป็นอาชีพได้จริง ๆ
ยิ่งมีผู้ให้ความรู้เกี่ยวกับบิตคอยน์ กระจายตัวออกไปมากเท่าไหร่ โอกาสที่คนทั่วไปจะเข้าใจและกลายเป็นผู้ใช้หรือนักเรียนรู้บิตคอยน์ก็ยิ่งเพิ่มขึ้น ถ้าคนหนึ่งมีวงคนรอบตัวประมาณ 10 คน เมื่อตัวเราเพิ่มผู้รู้ในพื้นที่มากขึ้น ฐานผู้รับสารก็ขยายเป็นหลายหมื่น
Proof of Work สร้างยาก แต่พิสูจน์ง่าย = การสะสมผลงานที่พิสูจน์ได้

สำหรับ อ.ขิง เองนั้นเส้นทางการให้ความรู้บิตคอยน์ของเขาเป็นการสะสม “Proof of Work” ในความหมายเชิงปฏิบัติ คือสิ่งที่พิสูจน์ได้ว่าเขาทำงานมาอย่างต่อเนื่องและจริงจัง ไม่ใช่แค่คำกล่าวอ้าง
“เช่น ถ้ามีคนไม่รู้จักผม แล้วเขาถามว่า ‘เฮ้ย มึงทำอะไรอยู่?’ เขาไปดูคลิปผมก็เห็นผมทำคลิปต่อเนื่องมา 3 ปี 5 ปีผมไม่ได้ย้อนเวลาไปสร้างคลิปย้อนหลังได้ ก็ต้องมีสเต็ป มีแทร็คเรกคอร์ดให้เห็น”
อ.ขิง สะท้อนความกังวลเชิงโครงสร้างของแรงงานสมัยใหม่ว่า คนจำนวนมากทำงานหนัก แต่สิ่งที่ทำไม่ได้แปลงเป็นหลักฐานที่จับต้องได้เมื่อเวลามีเหตุเปลี่ยนแปลง เช่น หากบริษัทที่พวกเขาทำอยู่ปิดตัวลง หรือมีการปรับโครงสร้าง พนักงานเหล่านั้นมักพบว่าตัวเองต้องแข่งขันกับคนรุ่นใหม่ที่มี “หลักฐานการทำงาน” แบบที่ตรวจสอบได้ง่ายกว่า
ในยุคที่ความไม่แน่นอนสูง การสะสมผลงานที่พิสูจน์ได้จึงเป็นเกราะคุ้มครองอาชีพ เป็นทรัพย์สินชิ้นหนึ่งที่ช่วยให้เดินหน้าต่อได้เมื่อต้องเผชิญการเปลี่ยนแปลง
โลกงานไม่แน่นอน portfolio ที่พิสูจน์ได้คือเกราะคุ้มครองอาชีพ
ถ้าเช่นนั้นแล้ว อย่างน้อยที่สุด Personal Branding ก็น่าจะเป็นอีกแนวทางที่สำคัญที่มันเป็น proof of work แต่มนุษย์เงินเดือนทั่วไปมันก็มีส่วนน้อยที่จะอยู่หน้าฉาก คนหน้าฉากจะมี proof of work แล้วถ้าเป็นตำแหน่งอื่นล่ะ?
อ.ขิง เห็นด้วยกับเรื่องนี้ว่าสำคัญ พร้อมยกตัวอย่างสมมุติว่าเราทำงานเบื้องหลัง มีส่วนร่วมในการถ่ายภาพ การตัดต่อ เราอาจจะสร้างบล็อกหรืออะไรก็ได้เพื่อบอกว่าวันนี้เราทำอะไรบ้าง มันคือการใช้สื่อให้เป็นประโยชน์ แต่ก่อนเราอาจจะไม่ได้ไม่ทำแต่ปัจจุบันมันเป็นสิ่งจำเป็น
มันคือการทำ “portfolio” ของตัวเองไว้และนับวันจะมีความสำคัญมากขึ้น เพราะมันคือแฟ้มสะสมผลงานของแต่ละคน ช่องทางที่แสดงให้เห็นว่าคุณทำอะไรได้จริง สื่อสังคมออนไลน์แม้เราไม่สามารถควบคุมมันได้ แต่มีข้อดีคือมันพิสูจน์ผลงานได้ชัดเจนกลายเป็นหลักฐานเชิงปฏิบัติที่ยากจะปลอม
ในขณะที่การโชว์ใบประกาศหรือการทำเว็บไซต์เป็นของตัวเองซึ่งเป็นการทำ “portfolio” ที่เราควบคุมได้เอง มันจะยังมีคำถามว่าเราทำเองจริงหรือเปล่าหรือใช้ AI ทำ`
เผยแพร่สิ่งที่คุณทำ ให้โลกเห็นแล้วโอกาสจะตามมา
เมื่อเราเริ่มเผยแพร่ตัวเองสู่สาธารณะ โอกาสและการเข้าถึงก็เปิดกว้างตามไปด้วย มีประโยคหนึ่งที่เขาชอบจากคำพูดของ “คุณนิ้วกลม” ที่บอกว่า มันไม่ใช่แค่เรื่องของการที่เราค้นพบตัวเอง แต่โลกจะค้นพบเราด้วย ถ้าเราเก็บงานไว้คนเดียว เราไม่มีทางรู้ว่าคนอื่นมองเราอย่างไร แต่เมื่อเรานำสิ่งที่ทำไปโชว์ โลกอาจเปิดโอกาสหรือชี้ให้เห็นทิศทางใหม่ ๆ ที่เราไม่เคยนึกถึง
การเผยแพร่ต้องมาพร้อมกับการคิดและคัดเลือก ในทางปฏิบัติจึงควรแยกระหว่างโปรไฟล์ส่วนตัวกับโปรไฟล์งานให้ชัดเจน รูปเที่ยวกับเพื่อนอาจลงในเฟซบุ๊กส่วนตัว ขณะที่คอนเทนต์เชิงงานหรือการสอนควรถูกส่งผ่านช่องทางที่ตั้งใจไว้ การใช้วิจารณญาณว่าอะไรควรลงที่ไหน จะช่วยให้ภาพลักษณ์ของเราเป็นไปตามที่ต้องการและเพิ่มโอกาสทางอาชีพได้จริง
เพราะฉะนั้น การเผยแพร่ตัวเองสู่สาธารณะมันก็จะ “เพิ่มโอกาส” ในด้านการงานให้กับเราไปด้วย เพราะโลกได้รู้จักเรา โดยเฉพาะในยุคที่เราอาจตกงานได้ทุกเมื่อ
“ความมั่นคงคืออะไร?” เมื่อโลกงานไม่แน่นอนอีกต่อไป ทั้งที่บริษัทก็สามารถเจ๊งได้เช่นกัน และไม่ได้การันตีเราว่าบริษัทจะไม่ขาดทุน แล้วทำไมบริษัทมักถูกมองว่ามั่นคง? ก็เพราะว่า “บริษัทจ่ายเงินให้เราได้สม่ำเสมอ” แม้ในวันที่ขาดทุนเพราะมีทรัพยากรสำรอง ช่องทางรายได้หลากหลายและความสามารถในการเข้าถึงแหล่งเงินกู้เมื่อจำเป็น สิ่งเหล่านี้ช่วยให้บริษัทรับมือกับความผันผวนได้ดีขึ้น
ดังนั้น พอมนุษย์เงินเดือนเห็นว่าบริษัทแบกรับตรงนี้ให้ เงินเดือนออกมาก็ใช้หมด เพราะรอถึงสิ้นเดือนถัดไปเงินก็เข้าอีกแล้วอย่างสม่ำเสมอ จึงไม่ระมัดระวังในการใช้เงิน ทำให้ไม่มีเงินเก็บ แถมยังไปผ่อนไปกู้เพิ่มจนเกือบจมน้ำ นี่คือกับดักที่ทำให้หลายคนตกในภาวะที่ไม่สามารถขาดรายได้ได้เลยไม่มีสภาพคล่อง ไม่มีสายป่าน ตกงานแล้วตาย บ้าน รถ โดนยึด
แทนที่จะผูกความมั่นคงไว้กับนายจ้างเพียงรายเดียว เราสามารถออกแบบชีวิตให้มีความมั่นคงได้เอง ผ่านการสร้างธุรกิจ เลี้ยงลูกค้าหลายราย และสะสมผลงานที่พิสูจน์ได้
ถ้าเราทำธุรกิจของตัวเอง เมื่อพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยน เราจะเริ่มสังเกตได้ก่อน และมีโอกาสปรับตัวทัน รู้ได้ว่าอะไรกำลังจะถูกดิสรัปต์ และหาแนวทางทดแทนได้เร็วกว่า แต่ถ้าคุณเป็นพนักงานในบริษัทที่กำลังตกอยู่ในช่วงขาลง หลายคนมักยังทำงานตามปกติ โดยไม่ตระหนักถึงความเสี่ยง เพราะยังได้รับเงินเดือนเหมือนเดิม
ปัญหาคือหลายคนมองไม่เห็นสัญญาณล่วงหน้า พอบริษัทล้มและเกิดการเลย์ออฟ จะพบว่าตัวเองไม่มีสภาพคล่อง เงินกู้อยู่เต็มแล้ว เมื่อถูกบังคับให้หางานใหม่ก็ต้องไปกดราคาตัวเอง แข่งขันกับเด็กรุ่นใหม่เพราะต้องการรับงานให้เร็วที่สุด ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่โหดร้าย
ในทางตรงกันข้าม คนที่ทำธุรกิจของตัวเองแม้รายได้จะผันผวนแต่มีข้อได้เปรียบที่ชัดเจนกว่า หากเตรียมตัวดี มีการออม มีฐานลูกค้าหลายราย ก็สามารถรอดจากการสะดุดชั่วคราวของรายได้ได้ง่ายกว่า และสามารถปรับโมเดลธุรกิจได้เร็วเพราะสัมผัสตลาดโดยตรง
ตลาดงานดีขึ้นเมื่อคนสร้างงาน “สนับสนุนผู้ประกอบการ” คือการแก้ปัญหาการว่างงาน
เขายอมรับว่า ค่อนข้างหงุดหงิดเมื่อเจอ “สกู๊ปข่าว AI จะมาแย่งงาน คนจะตกงาน” เต็มฟีดโซเชียลและตั้งคำถามว่าทำไมไม่เสนอมุมต่าง ให้คนมีความหวังบ้าง
จริงๆ แล้วเทรนด์ทุกวันนี้ Corporate ควรจะเล็กลง เราเจอสกู๊ปข่าว AI จะมาแย่งงานคนจะตกงาน ทำอะไรดี ปัญหาของความสิ้นหวังในการเสนอข่าวพวกนี้คือ “คุณมองด้านเดียว” คือคุณมองว่าคุณเป็นลูกจ้างแต่ไม่ได้มองว่าคุณเป็นอย่างอื่นเลย แล้วลูกจ้างกำลังจะตกงานและลูกจ้างไม่มี Proof of Work ไม่มีความได้เปรียบในการแข่งขัน แล้วต้องเสียอำนาจในการต่อรอง
ในกลไกตลาดปกติ สิ่งที่ควรจะเป็นในการแก้ไขปัญหาการตกงานคือ “คุณต้องเอื้อนายจ้าง” เพราะว่าดีมานด์ในการจ้างงานมาจากนายจ้าง เมื่อนายจ้างมีจำนวนมากขึ้นตำแหน่งงานจะมากขึ้นตาม เมื่อนายจ้างมีจำนวนมากและแข่งขันกันจ้างงาน ส่งผลให้ค่าจ้างปรับสูงขึ้นตามกลไกตลาด
ในทางกลับกัน ถ้าตลาดมีผู้ประกอบการมากเกินไปจนแข่งขันสูงเกินไป บางคนอาจคิดว่าทำธุรกิจเองไม่คุ้ม จึงกลับไปหางานประจำ ซึ่งทำให้ซัพพลายแรงงานเพิ่มขึ้นและกดค่าจ้างลงได้ แต่หากตลาดอยู่ในสภาพที่ค่าแรงต่ำเกินไป ก็จะมีคนบางส่วนผันตัวมาสร้างธุรกิจเอง กลายเป็นผู้ประกอบการและจ้างงานคนอื่นขึ้นมา เมื่อผู้ประกอบการมากขึ้น แข่งขันกันจ้างงาน สุดท้ายค่าจ้างก็จะขยับขึ้น
จริงๆ แล้วเทคโนโลยีช่วยให้ธุรกิจขนาดเล็กเกิดขึ้นได้ง่ายขึ้น ทำให้งานบางอย่างทำได้สะดวกขึ้นและเปิดโอกาสให้คนสร้างรายได้ด้วยตัวเอง นี่คือเหตุผลที่การสนับสนุนผู้ประกอบการจึงเป็นส่วนสำคัญของการแก้ปัญหาตลาดแรงงาน
“จริง ๆ แล้วเราไม่ควรต้องมานั่งหางาน ให้คนที่ถูกดึงออกจากระบบการจ้างงาน เราควรทำให้คนพวกนั้นกลายเป็นผู้ประกอบการของตัวเอง สมมติบริษัทขนาดหนึ่งมีพนักงาน 10 คน แล้วเทคโนโลยีเข้ามาแทนที่ งานแบบเดิมอาจเหลือแค่ 5 คนพอทำได้ สิ่งที่ควรเกิดขึ้นคือ 5 คนนั้นควรลุกขึ้นมาทำธุรกิจของตัวเอง เพราะบริษัทควรเล็กลงและมีจำนวนมากขึ้น”
เมื่อ productivity สูงขึ้น ธุรกิจจะกระจาย ตัวเลือกการทำงานก็จะหลากหลายขึ้น แต่แน่นอนว่าจะมีคนที่ถูกเลิกจ้างและยังไม่มีทักษะหรือทุนไปเริ่มธุรกิจ เขาอาจงง ๆ ไม่รู้จะทำอะไรต้องหาตัวเองใหม่ นี่คือข้อจำกัดสำคัญการเรียนเป็นการลงทุน
“แต่การลงทุนต้องมี ‘ทุน’ ถ้าทุกคนทำงานไปโดยไม่เก็บออม วันหนึ่งพอตกงานก็จะไม่มีทุนให้เรียนหรือลองธุรกิจใหม่”
ดังนั้น การมีเงินออมเป็น ‘สายป่าน’ หรือ margin of safety สำคัญมาก คนที่มีเงินสำรองสามารถพักงาน 2–3 เดือนเพื่อเรียนทักษะใหม่หรือเริ่มต้นธุรกิจได้ ขณะที่คนที่ไม่มีเงินออมจะถูกบังคับให้รับงานใหม่ทันทีและกดราคาตัวเองจนยากจะลุกขึ้นมาได้ การเป็นหนี้และใช้จ่ายเกินตัวจึงเป็นกับดักที่ทำให้คนจำนวนมากเปราะบางเมื่อตกงาน
แนวคิดคือ ถ้าคนมีความพร้อม ทั้งทักษะและเงินออม พวกเขาสามารถเปลี่ยนจากลูกจ้างเป็นผู้ประกอบการขนาดย่อมได้ ซึ่งจะสร้างงานใหม่และกระจายความมั่นคงให้กับระบบเศรษฐกิจมากขึ้น แต่ถ้าไม่มีความพร้อม ปัญหาการว่างงานและการแข่งขันกดค่าแรงก็จะวนอยู่เช่นเดิม
การออมไม่ใช่แค่เรื่องเงิน แต่เป็นความพร้อมให้เลือกในวันที่โลกเปลี่ยน

เมื่อเกิดการเปลี่ยนผ่านทางเศรษฐกิจ ถ้ามีคนมีเงินออมกับคนไม่มีเงินออมในสังคม คนที่มี saving มักมีข้อได้เปรียบ เพราะมีทางเลือกมากกว่า บางคนอาจกลายเป็นผู้สร้างงาน สร้างอาชีพ ส่วนคนที่ไม่มีเงินออม อาจกลายเป็นลูกจ้าง
แต่การผลักดันให้ทุกคน “ต้องออม” ผ่านนโยบายหรือมาตรการบังคับ แม้มีเจตนาดี แต่ก็ไม่ได้ตอบโจทย์ทั้งหมด เพราะการนำเงินออมไปลงทุนในโครงการที่ประชาชนไม่ยอมรับอาจกลายเป็นปัญหาเชิงนโยบายและจริยธรรม
อีกมุมหนึ่ง คนที่ใช้เงินฟุ่มเฟือยบนโซเชียลมีเดียมักถูกมองว่าชีวิตดี ขณะที่คนที่ประหยัดอาจหลุดจากการมองเห็นบนสื่อสังคม ซึ่งทำให้ค่านิยมสังคมเอนเอียงไปในทางที่ไม่ค่อยสนับสนุนการออม
เมื่อเริ่มสนใจออมบิตคอยน์บ้าง แต่ไม่เข้าใจวัฏจักรของบิตคอยน์ อยากทราบว่ามันมีวัฏจักรเหมือนหุ้นหรือไม่?
เขามองว่าแม้บิตคอยน์จะมีไซเคิลฮาล์ฟวิ่ง (Halving) ทุก 4 ปี แต่ไม่เชื่อว่าเหตุผลของการฮาล์ฟวิ่ง (ลดซัพพลายของบิตคอยน์ที่ออกใหม่) จะมีผลกระทบต่อราคาบิตคอยน์จริงๆ แต่เชื่อในภาพที่ใหญ่กว่านั้นคือโครงสร้างของระบบการเงินโลกที่รัฐบาลพิมพ์เงินตั้งแต่ปี 1971
แต่ฮาล์ฟวิ่งจะยังมีผลทางจิตวิทยา ทำให้เกิดพฤติกรรมซื้อๆ ขายๆ ตามกราฟ แต่ในรอบนี้ของบิตคอยน์ ผลกระทบจากฮาล์ฟวิ่งจะน้อยลงเรื่อยๆ เนื่องจากผู้เล่นเปลี่ยนจากรายย่อยเป็นรายใหญ่ซึ่งสไตล์การลงทุนของนักลงทุนสถาบันหรือพวกรายใหญ่จะต่างจากรายย่อย และจะทำให้การผันผวนของราคาลดลงเรื่อยๆ
ปัจจัยที่จะขับเคลื่อนราคาบิตคอยน์เขามองว่ามีอยู่ 2 ปัจจัยในระยะยาว คือ 1.Price Discovery จากที่ไม่มีค่าไปสู่มูลค่าที่มันควรจะเป็น เมื่อเจอราคาที่สมบูรณ์แบบแล้วหลังจากนั้น มันจะขึ้นต่อได้ถ้า 2.รัฐบาลพิมพ์เงิน
ซึ่งปัจจุบันเรายังไม่พ้นเฟสของ Price Discovery โลกจะต้องรู้จักบิตคอยน์มากกว่านี้ เราออกไปถามคนในสังคมจะมีแค่คนส่วนน้อยที่รู้จัก และในบรรดาคนส่วนน้อยที่รู้จักจะมีเป็นส่วนน้อยที่เข้าใจบิตคอยน์จริงๆ ที่เหลือยังมองว่าเป็นการพนันเป็นแชร์ลูกโซ่ เรายังอยู่ในระยะเริ่มต้น
อ.ขิง แจกกาวในช่วงท้ายของการพูดคุยว่า “ในโลกนี้มี millionaire ประมาณ 50 ล้านคนแต่บิตคอยน์มี 21 ล้านเหรียญหากกลุ่มนี้เข้าใจบิตคอยน์แล้วอยากซื้อ บิตคอยน์ในปัจจุบันอาจไม่พอจะกระจายให้ทุกคนได้เต็มที่
“ไหนจะอยู่ในมือซาโตชิ ในมือสถาบัน ไหนจะมีบางส่วนหายไป คือมันไม่พอ แล้วมันจะอยู่แค่ล้านเหรอ!”
มุมมองในการกระจายความเสี่ยง เพราะการมีบิตคอยน์จะในรูปแบบการออมหรือการลงทุน ดูเหมือนว่าเรากำลังจะ all-in กับสินทรัพย์เดียว
เขาครุ่นคิดกับคำถามนี้ชั่วขณะ…ก่อนอธิบายว่า สมมุติว่าคุณต้องขับรถไปทำงาน แล้วมีรถคันเดียว ถ้ารถคันนั้นเกิดเจ๊งขึ้นมาเราซวยไหม? ก็อาจกระทบเวลาเดินทางอาจไปทำงานสาย ดังนั้น หากคุณจะใช้แนวคิดกระจายความเสี่ยงกับเรื่องนี้ คุณจะทำอย่างไร? อาจจะมีรถหลายคันเพราะหากคันหนึ่งเสียยังมีอีกคัน แต่ถ้าซื้อจักรยาน 1 คัน ซื้อแมว 1 ตัว ซื้อโซฟา 1 ตัวมันก็คงจะไม่สมเหตุสมผล เพราะเราขี่โซฟาไปทำงานไม่ได้
ดังนั้น การกระจายความเสี่ยงหรือ Diversify “ไม่ใช่สักแต่ว่าทำ” ก่อนที่จะ Diversify “โจทย์ที่คุณต้องการแก้ในชีวิตคืออะไร?” ถ้าโจทย์ในการแก้คือ “การมีเงินออมที่ปลอดภัยจากเงินเฟ้อ” คุณจะ Diversify เป็นเงินสดหรือไม่ ดังนั้น เขาเห็นด้วยว่า หากเรามีตัวเลือกหลายตัวและทุกตัวตอบโจทย์เดียวกันได้ก็สามารถจะ Diversify ได้แต่ถ้าหากว่าตัวเลือกเหล่านั้นไม่ได้ตอบโจทย์ที่คุณอยากแก้ มันคงไม่ใช่การ Diversify
เช่น โจทย์คือต้องการเก็บออมแล้วเรากลัวเงินเฟ้อเราควร Diversify ทองคำ หรือถ้าเราเข้าใจว่าจริงๆ แล้วมูลค่าที่เพิ่มขึ้นมาของ S&P 500 มันเกิดจากคนนำเงินมาใส่ตรงนี้ทำให้มูลค่าเพิ่มขึ้นตามเงินเฟ้อเราก็อาจจะเอาเงินใส่ใน S&P 500 ก็ได้
“ดังนั้น ถามว่าใช่ไหมที่ควรจะ Diversify ถ้ามันมีตัวเลือกที่เหมาะสมให้ Diversify ก็ทำได้ แต่ถ้าปัญหาที่คุณอยากแก้มีตัวเลือกตัวเดียวมันก็ไม่มีประโยชน์ที่คุณจะไป Diversify อย่างอื่น คุณอยากกระจายความเสี่ยงจากการขับรถไปทำงาน คุณจะไปซื้อโซฟามันก็คงไม่ใช่”
ส่วนตัว อ.ขิง ซื้อทองคำบ้างเล็กน้อย ส่วนที่ดินไม่ได้ซื้อแต่ก็มีมรดกของครอบครัวรอสืบทอด เขาไม่ใช่บ้าสุดโต่งขายบ้าน ขายรถมาซื้อบิตคอยน์แล้วนอนลังกระดาษ
นี่แหละคือ Proof of Work ของชายที่ชื่อ “สิรภพ นิลบดี” หรือ อ.ขิง ผู้ที่ชอบและลงมือปฏิบัติในการให้ความรู้เกี่ยวกับบิตคอยน์แก่คนไทยและเขาจะยังมุ่งมั่นทำต่อไป…เพราะเชื่อใน “กระบวนการ ไม่ใช่เส้นชัย” จากคนทำงานคนหนึ่งสู่อาจารย์สอนบิตคอยน์ ที่ปล่อยประกายไฟเล็ก ๆ ให้ลามเป็นแสงสว่างในใจผู้คนไปเรื่อยๆ เท่านี้ก็มากพอแล้วสำหรับคำว่า “ความสุข” ของ อ.ขิง
สัมภาษณ์ เขียนและเรียบเรียง : ชัชชญา อังคุลี